วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

เนื้อคู่

ทำบุญร่วมชาติ ทั่งหมดก๊อปมาอ่านเครดิตให้เจ้าของเค้าน่ะครับ

คำว่า นื้ คู่

หลายคนจะให้ความหมายว่าคือคนที่จะได้แต่งงานออกหน้าออกตาด้วย (ทั้งจดทะเบียนสมรส หรือไม่จดทะเบียนสมรสก็ตาม) หรือได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือเป็นคนที่ส่งเสริมอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน
เคย สังเกตไหมครับว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมายหลายคน
บางคนเข้ามา 1 ปีแล้วก็เลิกกัน บางคนคบกัน 6 เดือนแล้วเค้าก็จากเราไป
บางคนเจอกันแค่อาทิตย์เดียวแล้วเราก็ทิ้งเค้าไปเอง บางทีคุณก็คบหาคนรู้ใจในเวลาเดียวกันถึง 3 คน
บางคนแต่งงานกันมาแล้ว 20 ปีก็ เลิกกันไป แต่งงานอีกทีตอนอายุ 70 ปีอยู่กินกัน กับคนใหม่ได้แค่ 2 ปีแล้วก็ล้มหายตายจากกันไป
นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ที่อยากให้ลองคิดตามครับ

คิดออกหรือยังครับว่าคำว่าเนื้อคู่มันอยู่ตรงไหน ในมุมมองของผมแล้วคำว่า 'เนื้อคู่' ไม่มีครับ
มีแต่คำว่า 'กรรม' ทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี
บาง คนทำกรรมดีกันมาในอดีต ในภพ ในชาติที่แล้ว ช่วงประจวบเหมาะได้มาเจอกันในภพในชาตินี้ ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตามกรรมของตัวเองเป็นตัวกำหนดว่าจะได้อยู่กันนานแค่ไหน

บางคนอยู่ด้วยกันก็ มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่เรื่องเดือดร้อน
แต่ทนอยู่กันได้หลายปี นั่นก็เกิดจากกรรมในอดีตแต่เป็นกรรมไม่ดีต่อกัน
ภพนี้ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้พอจะสรุปคำว่าเนื้อคู่ (ของหนุ่มสาวยุคนี้) ได้ดังนี้ครับ

ความหมายที่ 1 คือ คนที่มีกรรมดีต่อกันในอดีต ภพนี้ ชาตินี้กลับมาเพื่อการอิ่มเอิบใจซึ่งกันและกัน
ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับคำว่าเนื้อคู่ที่หลาย ๆ คนถามหามากที่สุด
ส่วนจะเจอเมื่อไร ได้อยู่ร่วมกันนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของกรรมในอดีตเป็นตัวกำหนด

ความหมายที่ 2 คือ คนที่มีกรรมไม่ดีต่อกันในอดีต ภพนี้ ชาตินี้จึงกลับมาเพื่อทวงคืน เพื่อชำระหนี้
จะ สังเกตว่าคู่ประเภทนี้อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องเสียเงิน

เสียใจ เสียเวลา เสียความรู้สึก
แต่คนเรามักจะคิดว่าคนประเภทนี้ไม่ใช่คู่เรา เป็นที่มาของคำถามว่า
'เมื่อไรจะเจอคู่ซะที' ซึ่งที่จริงแล้วคนที่เผชิญอยู่ในความหมายที่ 2 นี่แหละก็คือคู่เหมือนกัน แต่เป็นคู่เวรคู่กรรม

ดัง นั้นผมบอกได้เลยว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของเราทุกคนเราจะได้พบกับเพศตรงข้ามหรือ แม้แต่เพศเดียวกันในลักษณะคู่รัก

ไม่ น้อยกว่า 1 คนในช่วงชีวิตนี้ก่อนสิ้น อายุขัยแน่นอน แล้วจะไปแคร์อะไรละครับ …. ถึง เวลาคนดี ๆ ที่เราตามหาเค้าจะมาเอง
ใน ทำนองเดียวกันไอ้คนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ดั่งใจ แต่ต้องทนคบอยู่ทุกวันนี้

สักวันเมื่อชดใช้ กันหมดแล้วเค้าก็จะไปเอง

ช่วงสุญญากาศที่ยังไม่มีใครมา เชื่อมต่อละมั้งที่ทำให้หลายคนวิตกกังวล
จึงเป็น ที่มาของคำถามว่า 'เมื่อไรจะเจอเนื้อคู่ซักที'

คำแนะนำ
ในยาม ที่คบหาใครอยู่ ไม่ว่าเค้าจะดีหรือไม่ดี
ขอให้ตัวคุณทำดีต่อเค้าให้มากที่สุด เพราะเค้าจะไม่ได้มาวุ่นวายกับเราตลอดไปหรอกครับ
อย่างน้อยกรรมดีที่มีต่อกันในวันนี้จะส่งผลให้คุณได้อิ่มเอิบ ในวันข้างหน้าได้

ใน ทางกลับกัน ถ้าได้เจอใครที่เรารู้สึกดี รู้สึกรัก รู้สึกห่วงใยเค้า รู้สึกคิดถึงเค้าตลอดเวลาแล้วละก็
รักเค้าให้ สุดแรงเกิดครับ ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งอาจจะต้องผิดหวัง
เพราะถึงแม้จะไม่มีอะไรมาพรากคุณและเค้าก็ตาม
อย่างน้อยความตายก็เตรียมพลัดพรากคุณและเค้าในวันหนึ่งอยู่ แล้ว


ขอให้ทุกท่านฉลาดที่จะใช้ ชีวิตคู่และรู้เท่าทันกิเลสตัวเอง
โดยผมจะยก ตัวอย่างง่าย ๆ ให้ฟังครับ

ชายคนหนึ่ง ซื้อล็อตเตอรี่มา 1 คู่ หลังวันหวยออกแล้ว 1 วัน
ชายคนนี้เป็นคนที่มี ความสุขที่สุดในชีวิต
เพราะเค้าจะมีความหวัง และกำลังใจถึง 15 วัน
โดยเค้าจะเสียใจแค่วันเดียวคือวันหวยออก วันรุ่งขึ้นเค้าก็ไปซื้อลอตเตอรี่มาใหม่อีก 1 คู่
แล้วเค้าก็มีความสุขต่อไปอีก 15 วัน เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น
ชายคน นี้ฉลาดที่จะใช้ชีวิตและรู้เท่าทันกิเลสตัวเองครับ

คบหากับใครก็ตามไม่ต้องกังวลถึงวันหน้าหรอกครับ
ตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุด ทำดีต่อกันให้มากที่สุด สมมติคบกันมา 5 ปี
ทำ ดีต่อกันมาตลอด ถึงวันหนึ่งต้องเลิกกัน เต็มที่จะทุกข์สุด ๆ แค่ 1 เดือน
คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มกับ เวลาที่เรามีความสุขต่อกัน
เปรียบเหมือนการ ซื้อลอตเตอรี่ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นละครับ


โดย อ.ประภัตร รหัสดาว

ทายนิสัยได้เล่นๆกับ http://www.mahamodo.com/tamnai/raseelove_inputdmy.asp


แกะรอยตามหาคู่แท้

- โดย: นายนัดเดท - 26 กันยายน 2551
แน่นอน เราทุกคนฝันที่จะได้พบกับคู่ แท้ ใคร สักคนหนึ่งที่จะใช้ชีวิตไปกับเราจนวันสุดท้ายของชีวิต.. เราสามารถฝันถึงเรื่องนี้ได้อย่าง่ายดาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ คุณจะไปหา คู่แท้ของคุณได้ที่ไหน พรหมลิขิตหรือ? ก็อาจจะใช่ แต่อย่างไรก็ตาม พรหมลิขิตก็ต้องการให้คุณช่วยนำทางไป ส่วนหนึ่งต้องเป็นหน้าที่ของคุณเอง ที่จะออกไปค้นหาคู่แท้สำหรับชีวิต

ลำดับแรกที่คุณจะต้องทำก่อนที่จะพบคู่ แท้ก็คือ ต้องค้นพบตัวเองก่อน อะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ อะไรคือความ เชื่อ ที่คุณใช้ในการดำเนินชีวิต คุณแสดงออกถึงความรักอย่างไร และคุณคาดหวังที่ได้ความรักกลับมาในรูปแบบใด นี่เป็นคำถามเบื้องต้น ที่คุณจะต้องถามตัวเองเสียก่อน ลองสัมภาษณ์ตัวเองดู จะช่วยให้สิ่งต่างๆ มีความชัดเจนขึ้น และจะช่วยให้คุณรู้ว่า คนแบบไหนที่คุณกำลังมองหา เริ่มต้นแบบนี้จะดีกว่า การค้นหาไปแบบเรื่อยๆ แบบไม่มีทิศทาง (อ่านบทความ การออกเดท ความรัก ความ สัมพันธ์ ได้ที่ http://www.NadDate.com และทางโทรศัพท์มือถือในระบบ AIS(GSM/1-2-call) ผ่านทาง http://wap.mobilelife.co.th เลือกเมนู Chat / Community สำหรับผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปใช้ กรุณาให้เครดิตที่มา จาก NadDate.com ค่ะ)

และเมื่อคุณได้รู้จักใคร สักคน ในช่วงแรกที่ใช้เวลาทำ ความรู้จัก หรือออกเดทด้วยกัน จะเป็นช่วงการเรียนรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง.. คุณสามารถออกเดทได้ แต่อย่าก้าวไปสู่ความ สัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงเพราะคุณเหงา
หลังจากที่ได้ออกเดท หรือทำ ความรู้จักกับใคร สักคนอย่างระมัดระวัง คุณก็จะค่อยๆ รู้ว่า ความ สัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เป็นแบบที่คุณได้ฝันไว้หรือไม่ หากเขาหรือเธอยังไม่ใช่ ทางที่(อาจจะ) ดีที่สุด ก็คือ การหยุดความ สัมพันธ์ลง แล้วใช้เวลาค้นหาสิ่งที่คุณต้องการต่อไป

การจะหาคู่แท้ จริงๆ จำต้องใช้ความอดทน อย่าเพิ่งสิ้นหวัง หลังจากคุณได้ใช้เวลามาระยะหนึ่ง แต่ยังไม่เจอคน ที่ใช่สักที เพราะสิ่งดีๆ มักจะต้องใช้เวลาเสมอ และเมื่อเวลานั้นมาถึง คุณก็จะได้พบสัญญาณที่ ดีเหล่านี้

1. รู้สึกประทับ ใจ ในลักษณะบุคลิกภาพระหว่างกัน และกัน
2. มีสิ่งที่สนใจร่วมกัน
3. สื่อสารและแลกเปลี่ยนสิ่งที่มีประโยชน์ระหว่างกัน
4. ให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามเป็นลำดับแรก
5. สื่อสารกันด้วยอารมณ์และความรู้สึกในระดับเดียวกัน
6. คนๆ นั้น ทำให้คุณรู้สึกพิเศษและมีคุณค่า
7. คนๆ นั้น ให้การช่วยเหลือและสนับสนุน ให้คุณได้ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าสำตัญที่สุดในชีวิต

การได้พบคู่ แท้ เปรียบเสมือนการประสบความสำเร็จในชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ หลังจากที่ได้พบกันแล้ว คุณก็ต้องทุ่มเทในการดูแลกัน และกันต่อไปอีก ให้เกียรติซึ่งกัน และกัน... การได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สายสัมพันธ์แข็งแรง เมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีชีวิตชีวา สายสัมพันธ์ความรักระหว่างคุณ ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และจะคงอยู่กับคุณตลอดไป

ดูดวงเนื้อคู่

เรื่องของเนื้อคู่ ถือเป็นเรื่องหลัก เรื่องใหญ่ในชีวิตของคนเรา โดยธรรมชาติมนุษย์ต้องมีคู่ครอง ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงมักอยากทราบว่าแฟน หรือคนรักที่เราคบอยู่จะเป็นเนื้อคู่ หรือคู่แท้ของตนเองหรือไม่ หรือบางคนยังไม่มีคู่ ก็อยากทราบว่าเนื้อคู่ของตนเองจะต้องเป็นคนอย่างไร มีลักษณะรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคออย่างไร … ยังคงเป็นคำถามของอนาคตที่หลาย ๆ คนต้องการทราบ … มีวิธีตรวจสอบ ทำนายทายทักเรื่องเกี่ยวกับเนื้อคู่มากมาย ลองไปดูกันเลย (อย่าลืมว่า เรื่องของความรัก ความรู้สึกที่ดีต่อกัน และความเข้าใจกัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด)

@@ ดวงเนื้อคู่ ตามวัน เดือน ปี เกิด @@

สำหรับคู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานกัน ท่านให้เลือกวัน เดือน ปีที่เป็นมิตรกัน และพึงละเว้น วันเดือนปีที่เป็นศัตรูกัน


วันคู่มิตร

วันอาทิตย์ คู่มิตรกับ วันพฤหัสบดี

วันจันทร์ คู่มิตรกับ วันพุธ

วันศุกร์ คู่มิตรกับ วันอังคาร

วันราหู (พุธกลางคืน) คู่มิตรกับ วันเสาร์


วันที่เป็นศัตรู

วันอาทิตย์ กับ วันอังคาร

วันพุธ กับ วันพุธกลางคืน

วันศุกร์ กับ วันเสาร์

เดือนที่เป็นมิตร เดือน 3-5 , 6-12 , 4-8 ,7-9 , 1-2 , 10-11

เดือนที่เป็นศัตรู เดือน 5-11 , 1-6 , 2-7 , 3-8 , 4-10 , 9-12



ปี ชวดเทวดา ผู้ชาย น้ำ

ปี ฉลูมนุษย์ผู้ชาย ดิน

ปี ขาลผีเสื้อผู้หญิง ไม้

ปี เถาะมนุษย์ ผู้หญิง ไม้

ปี มะโรงเทวดาผู้ชาย ทอง

ปี มะเส็งมนุษย์ ผู้ชาย ไฟ

ปี มะเมียเทวดาผู้หญิง ไฟ

ปี มะแมเทวดา ผู้หญิง ทอง

ปี วอกผีเสื้อ ผู้ชาย เหล็ก

ปี ระกาผีเสื้อ ผู้ชาย เหล็ก

ปี จอผีเสื้อ ผู้หญิง ดิน

ปี กุน มนุษย์ ผู้หญิง น้ำ

เทวดาผู้ชาย กับ เทวดาผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันดีมาก อยู่ด้วยกันเป็นสุข จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง และธาตุนั้นถูกกัน
เมื่อมีลูกแล้วจะจากกันครั้งหนึ่ง หรือมิฉะนั้น จะทุ่มเถียงแข่งดีกัน แล้วจะกลับมาดีกันใหม่


เทวดาผู้ชาย กับ เทวดาผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากันดีพอใช้ได้ เบื้องต้นรักกันและปรองดองกันดี แต่พอมีลูกแล้วมักจะไม่ปรองดองกัน
มักจะทะเลาะกัน ชีวิตไม่สู้จะราบรื่นนัก


เทวดา ผู้หญิง กับ เทวดาผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันพอปานกลาง แต่มักจะชิงดีแข่งกัน มีเรื่องระหองระแหงกันบ่อย ๆ ไม่สู้จะมีสุขมาก
นักดำเนินชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ค่อยจะราบรื่น


เทวดา ผู้ชาย กับ ผีเสื้อผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากัน ไม่ค่อยจะดี มักจะชิงดีแข่งกัน และมักจะไม่ลงรอยกัน มีความเห็นขัดแย้งกันบ่อย ๆ
มีสุขและมีความราบรื่นในชีวิตน้อย


เทวดา ผู้ชาย กับ มนุษย์ผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากัน มักมีแต่หึงหวง วิวาทบาดหมางกันบ่อย ๆ ท่านว่าสมพงศ์คู่นี้ไม่ดี


เทวดา ผู้ชาย กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันดีมาก จะรักใคร่ปรองดองกันดีมีสุข และชีวิตราบรื่นดี ท่านว่าสมพงศ์คู่นี้มี
ี เจริญรุ่งโรจน์ขึ้นโดยลำดับ


เทวดา ผู้หญิง กับ ผีเสื้อผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันไม่ดี มักหึงหวง ทะเลาะวิวาทกัน หาความเจริญได้น้อย ชีวิตไม่สู้จะราบเรียบ


เทวดา ผู้หญิง กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันไม่ดี เพราะไม่ปรองดองกัน และไม่รักกันจริง สมพงศ์คู่นี้อาจแตกหักในกลางคันก็ได้


ผีเสื้อ ผู้ชาย กับ ผีเสื้อผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันดี รักใคร่กันดี เมื่อมีลูกแล้ว ความรักมักจืดจาง บางครั้งไม่ค่อยจะลงรอยกัน มักจะ
ขัดใจกันเพราะคำพูด แต่ว่าคู่ธาตุนั้นถูกัน ต่อไปจะมีทรัพย์สินเงินทองมาก จะสุขสบายเมื่อตอนแก่


ผีเสื้อผู้ชาย กับ ผีเสื้อผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากันดี รักกันเหมือนเพื่อนที่สนิท อยู่กินด้วยกันมีสุข ชีวิตราบรื่นดี


ผีเสื้อ ผู้หญิง กับ ผีเสื้อผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันดี รักกันเหมือนเพื่อนที่สนิท อยู่กินด้วยกันมีสุข ชีวิตราบรื่นดี


ผีเสื้อ ผู้ชาย กับ มนุษย์ผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากันไม่ดี มักเดือดร้อน จะวิวาทบาดหมางกัน อยู่กินด้วยกันไม่เป็นสุข


ผีเสื้อ ผู้หญิง กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามภรรยากันไม่ดี ชีวิตไม่ราบรื่น หาความสุขได้น้อย มักจะเดือดร้อน ถึงจะดี ก็ดีแต่ตอนแรก
ต่อไปมักจะขัดใจกัน ชีวิตจะขมขื่น จะจากกันด้วยโทมนัส และว่าจะยากจน


ผีเสื้อ ผู้หญิง กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันไม่สู้ดี ดีแต่ตอนต้น ต่อไปจะจากกัน


มนุษย์ผู้ชาย กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากันดีนัก ท่านว่าธาตุนั้นถูกกัน รักกันดีนัก มีทรัพย์สินเงินทองมาก ทรัพย์สมบัติ
จะเพิ่มพูน ดังกระแสชล จะมีอายุยืน มีลูกหญิงสืบสาย มีลูกชายสืบต่อ อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทอง
ถือกระบองยอดเพชร


มนุษย์ผู้ชาย กับ มนุษย์ผู้ชาย

เป็นสามีภรรยากันไม่ค่อยดี มักจะวิวาท บาดหมางกัน หึงหวงกัน แต่ถ้าธาตุถูกกัน ก็พอปานกลาง


มนุษย์ผู้หญิง กับ มนุษย์ผู้หญิง

เป็นสามีภรรยากัน ไม่ค่อยจะดี มักจะแก่งแย่งแข่งดีกัน หรือหึงหวงกัน ไม่ค่อยจะได้รับความสุข
จะรักกันแต่ตอนต้นเท่านั้น แต่ถ้าธาตุถูกกัน ก็ดีพอปานกลาง

ธาตุปีเกิด

ปีชวด กับ ปีกุน ธาตุน้ำ

เดือน 5-6-7 น้ำในตระพัง

เดือน 8-9-10 น้ำคนอาศัย

เดือน 11-12-1น้ำในบ่อ

เดือน 2-3-4 น้ำฝน


ปีฉลู กับ ปีจอ ธาตุดิน

เดือน 5-6-7 ดินสุก

เดือน 8-9-10 ดินดี

เดือน 11-12-1 ดินจอมปลวก

เดือน 2-3-4 ดินทำพระ


ปีขาล กับ ปีเถาะ ธาตุไม้

เดือน 5-6-7 ไม้ผุ

เดือน 8-9-10 ไม้แก่น

เดือน 11-12-1ไม้หอม

เดือน 2-3-4 ไม้บนเขา


ปีมะโรง กับ ปีมะแม ธาตุทอง

เดือน 5-6-7 ทองฟ้า

เดือน 8-9-10 ทองมีราคี

เดือน 11-12-1ทองจ่าย

เดือน 2-3-4 ทองนพคุณ


ปีมะเส็ง กับ ปีมะเมีย ธาตุไฟ

เดือน 5-6-7 ไฟไหม้ป่า

เดือน 8-9-10 ไฟคนสุม

เดือน 11-12-1ไฟในหิน

เดือน 2-3-4 ไฟในแก้ว


ปีวอก กับ ปีระกา ธาตุเหล็ก

เดือน 5-6-7 เหล็กกล้า

เดือน 8-9-10 เหล็กอ่อน

เดือน 11-12-1เหล็กดี

เดือน 2-3-4 เหล็กหลุม
ธาตุน้ำ กับ ธาตุน้ำ รวม กันแล้วดี

ธาตุ ไม้ กับ ธาตุไม้ รวมกันแล้วดี

ธาตุ ดิน กับ ธาตุดิน รวมกันแล้วดี

ธาตุ ไฟ กับ ธาตุไฟ รวม กันแล้วไม่ดี

ธาตุ เหล็ก กับ ธาตุเหล็ก รวม กันแล้วไม่ดี

ธาตุ ดิน กับ ธาตุน้ำ รวม กันแล้วดี

ธาตุ ดิน กับ ธาตุเหล็ก รวมกันแล้วดี

ธาตุ ดิน กับ ธาตุไฟ รวมกันแล้วไม่ ดี

ธาตุ ไฟ กับ ธาตุ เหล็ก รวมกันแล้วไม่ดี

ธาตุ น้ำ กับ ธาตุไฟ รวม กันแล้วดี

ธาตุ ไฟ กับ ธาตุไม้ รวมกันแล้วไม่ดี

ธาตุ ทอง ประสมกับ ธาตุ อะไร รวมกันแล้วดี ทั้งนั้น
สมพงษ์ธาตุ

ผู้ชาย ผู้หญิง คำทำนาย

น้ำ น้ำ อยู่ด้วยกันจะเป็นสุขใจ

น้ำ ดิน อยู่ด้วยกันจะมีความรักกันมาก

น้ำ ไม้ ดีนัก บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ

น้ำ ดิน ดีนักจะมีบุตรด้วยกันและอายุยืนนาน

ดิน น้ำ อยู่ด้วยกันปี หนึ่งจะได้ดี จะมีผู้อุปถัมภ์

ดิน ไม้ อยู่ด้วยกันดี

ดิน ไฟ จะได้ดีเมื่อปลายมือ และจะมีทรัพย์มาก

ดิน เหล็ก อยู่ด้วยกันจะมีบุตรมาก

ไม้ ไม้ อยู่ด้วยกันลาภผลพอประมาณ

ไม้ น้ำ อยู่ด้วยดีนัก เป็นสุข จะมีทรัพย์มาก แต่ว่าเลี้ยงลูกยาก

ไม้ ดิน รักกันแต่ต้องห่างกัน

ไม้ ไฟ ดีจะมีบุตรชายก่อน แต่มักจะเป็นกำพร้า

ไม้ เหล็ก อยู่ด้วยกันไม่นาน

ไฟ ไฟ อาภัพจัง

ไฟ น้ำ เมื่อต้นมือมิสู้จะดีภายหลังจึงจะดี

ไฟ ดิน อยู่ด้วยกันดี แต่ต้องแยกจากกันก่อน

ไฟ ไม้ มิสู้ดีวิวาทเป็นปากเสียงกัน

ไฟ เหล็ก หาสมบัติมิได้เลย

เหล็ก เหล็ก ดีนักจะอยู่เย็นเป็นสุข

เหล็ก น้ำ ดีนักจะอยู่ด้วยกันเป็นสุข

เหล็ก ดิน อยู่ด้วยกันดีนักจะมีสมบัติ

เหล็ก ไม้ อยู่ด้วยกันดีจะได้ยศศักดิ์เป็นขุนนาง

เหล็ก ไฟ ไม่ดีมักจะวิวาท และตีด่ากัน

มะแม มะโรง ธาตุทองอยู่กับธาตุไหนก็ได้ ดีทั้งสิ้น


@@ วันเกิดบอกนิสัยและเนื้อคู่ @@

ผู้ชายที่เกิดวันอาทิตย์ เป็นคนมาดขรึม ท่าทางสุขุมนุ่มลึก ผู้ชายที่เกิดวันนี้จะไม่ชอบผู้หญิงที่เปรี้ยวเกินไป แต่ก็ไม่เฉื่อยแฉะเกินไปด้วย เป็นคนค่อนข้างหัวโบราณสักหน่อย ชอบผู้หญิงรูปร่างสันทัด ความรักที่เจอมักจะเป็นแบบรักแรกพบ ประเภทส่งสายตาปิ๊งกันมากกว่า เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ วันพฤหัสบดี วันศุกร์

ผู้หญิงที่เกิดวันอาทิตย์ เป็นคนที่มีความคิดโลดแล่น รวดเร็ว และใจร้อน เนื้อคู่จะเป็นคนรูปร่างใหญ่หรือไม่ก็สันทัด ผิวค่อนข้างจะคล้ำ หรือไม่ก็ดำแดงมากกว่า เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันอังคาร วันพุธ


ผู้ชายที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนอ่อนน้อม ช่างวิตกกังวล แต่ชอบการต่อสู้แข่งขัน ผู้ชายที่เกิดวันนี้จะเจ้าชู้ แล้วก็ช่างเลือก เขาจะชอบผู้หญิงที่รูปร่างสันทัด สัดส่วนดี ผิวขาว เอาใจเก่ง เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดี วันเสาร์

ผู้หญิงที่เกิดวัน จันทร์ เป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ก็อ่อนหวานได้เหมือนกัน มีนิสัยร่าเริง รักสนุก มักเลือกผู้ชายที่รูปร่างกำยำเป็นสุภาพบุรุษ ที่สำคัญต้องเอาใจเก่งด้วย เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันพุธ วันเสาร์


ผู้ชายที่เกิดวันอังคาร มักชอบพูดจาขวานผ่าซาก และดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เป็นคนโรแมนติกทีเดียว จะชอบผู้หญิงที่อ่อนหวานนิ่มนวล ผิวไม่ขาวหรือดำจนเกินไป แต่ถ้าผิวดำแดงจะถูกใจเป็นพิเศษ ส่วนรูปร่างน่ะไม่สำคัญ เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ วันศุกร์

ผู้หญิงที่เกิดวัน อังคาร เป็นคนรอบรู้ ช่างเจรจา แต่จะเป็นคนดื้อรั้น ไม่ค่อยจะยอมใคร เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันจันทร์ วันศุกร์


ผู้ชายที่เกิดวันพุธ เป็นคนช่างคิด ใจกว้าง รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น น่ารักทีเดียว ชอบผู้หญิงที่อ่อนหวาน แต่งตัวนำสมัย มักจะปิ๊งเพื่อนร่วมชั้นหรือเพื่อนที่ทำงาน แรกๆ อาจไม่ถูกชะตาแต่ต่อไปก็ยิ่งซึ้งน้ำใจมากขึ้นเอง เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ วันพุธ

ผู้หญิงที่วันพุธ เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย และมีเสน่ห์ดึงดูดใจมาก จะชอบผู้ชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่ และผิวสองสีหรือผิวดำแดง เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันพุธ วันศุกร์ วันเสาร์


ผู้ชายที่เกิดวันพฤหัสบดี ชอบเป็นผู้นำ ช่างพูด จริงใจ ชอบผู้หญิงที่ค่อนข้างเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องสวยเลิศเลออะไรนัก แต่ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ชอบผู้หญิงผิวขาว โดยเฉพาะรูปร่างอวบๆ จะถูกใจมาก เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดี วันศุกร์

ผู้หญิงที่เกิดวัน พฤหัสบดี เป็นคนถือตัว บางทีอาจดูเหมือนหยิ่ง แต่ก็ชอบช่วยเหลือคนอื่น มักจะมองผู้ชายที่สุภาพ นุ่มนวล มีความรู้ มีเกียรติ แต่ถ้าเพื่อนๆ ที่ออกจะโลๆ ละก็ไม่ถูกใจเธอแน่เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันจันทร์ วันพฤหัสบดี วันเสาร์


ผู้ชายที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนฉลาด พูดจามีเสน่ห์ แต่อารมณ์มุทะลุ โกรธง่ายแต่หายเร็ว ชอบผู้หญิงที่เรียบร้อย ไม่ช่างพูดจนเกินไปและต้องใจเย็นทนอารมณ์แปรปวนเขาได้ เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันอังคาร วันเสาร์

ผู้หญิงที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนพูดจาอ่อนหวานรักสวยรักงาม พูดจาตรงไปตรงมาดี มีนิสัยน่ารัก คือชอบช่วยเหลือคนอื่น มักชอบผู้ชายที่มาดขรึม และสุภาพ เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันอังคาร วันพฤหัสบดี วันอาทิตย์


ผู้ชายที่เกิดวันเสาร์ เป็นคนเด็ดเดี่ยว หูเบา เชื่อคนง่าย ชอบผู้หญิงรูปร่างสเลนเดอร์ สูงโปร่ง ผิวขาว มีเสน่ห์ที่ดวงตา และการพูดจา เหมาะกับผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์ วันพฤหัสบดี วันศุกร์

ผู้หญิงที่เกิดวัน เสาร์ จะเป็นคนหัวรั้นซักหน่อย จึงไม่ค่อยแคร์ใครๆ มักจะปิ๊งแบบฉับพลัน มากกว่ามองกันเป็นชาติ จะชอบคนที่ค่อนข้างผิวขาวมากกว่าผิวดำ เหมาะกับผู้ชายที่เกิดวันพฤหัสบดี

@@ วิธีการทำนายเนื้อคู่ จากการคำนวณ วันเดือนปีเกิด @@

1. นำวันเดือนปีเกิดของตัวเองมาบวกกัน เริ่มจากวันอาทิตย์ = 1 / เดือน เริ่มจากเดือนมกราคม = 1 / ปี เริ่มจากปีชวด = 1 ฉลู = 2 ไปจนถึงปีกุน = 12 ค่ะ

2. นำผลลัพธ์ที่ได้มาคูณด้วย 7

3. เสร็จแล้วหารด้วย 9 อีกที

4. เหลือเศษเท่าไหร่ อย่าทิ้ง! เก็บเอามาดูคำเฉลยกันได้เลย


ตัวอย่าง

สมมุติว่าเกิดวันจันทร์ เดือนกันยายน ปีมะเส็ง คือ 2 + 9 + 6 ได้เท่ากับ 17 คูณด้วย 7 เท่ากับ 119 แล้วนำมาหารด้วย 9 ได้ 13 เหลือเศษ นำเศษ 2 ที่ได้มาดูคำเฉลยกันเลย

ไม่เหลือเศษ

เนื้อคู่ของคุณคนนี้นิสัยดี ฐานะดี เป็นคนจริงจัง ชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่น ชอบเข้าสังคม มีความมานะ อดทน เป็นคนที่ต้องการ ให้คนอื่นมาเอาใจ และต้องการให้มีคนมารายล้อมเขามากๆ ชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งก็เป็นคนที่โรแมนติกทีเดียว แต่ต้องระวังให้ดีล่ะ เพราะเค้าคนนี้เจ้าชู้มากเลย

เหลือเศษ 1

ลักษณะภายนอกเป็นคนผิวขาว นิสัยเจ้าระเบียบ ใจเย็น จึงต้องการให้คุณอยู่ในระเบียบที่เขากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แต่เป็นคนที่รักใครแล้วรักจริง และพร้อมเสมอที่จะแต่งงานกับคุณ ขอเพียงคุณเอ่ยปากตกลงเท่านั้นแหละ

เหลือเศษ 2

เป็นคนไม่ถือตัว รูปร่างสันทัด ผิวสองสี เป็นคนร่าเริง มารยาทเรียบร้อย เสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียว เป็นคนง่ายๆ ชอบตามใจคนอื่น ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากมาย นิสัยดี จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใครๆ ก็รัก ค่อนข้างเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใครแล้วก็รักจริง

เหลือเศษ 3

เป็นคนผิวขาวเหลือง นิสัยใจคอเด็ดเดี่ยว มีความมั่นใจในตัวเองสูง ช่างเจรจรา มนุษยสัมพันธ์ดี เขาจึงมีเพื่อนฝูงมากมาย เป็นผู้นำกลุ่มได้ดี

เหลือเศษ 4

เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นที่สุด รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ทำอะไร และมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ปกติแล้วเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน ไม่ถือตัว ช่างพูดช่างคุย แต่บางครั้งก็มีอารมณ์อ่อนไหวไปบ้างเหมือนกัน

เหลือเศษ 5

เขาหรือเธอคนนี้มีรูปร่างสันทัด ผิวขาว มีน้ำใจดี อารมณ์ดีได้ทั้งวัน ปากหวาน บางครั้งก็สุขุมเยือกเย็น และอ่อนน้อม พอๆ กับอ่อนไหว แสนงอน และก็ขี้หึง และเก็บความรู้สึกได้เก่งมาก ยากที่จะเดาใจออก เว้นแต่จะพูดออกมา ซึ่งจะพูดแบบตรงไปตรงมา

เหลือเศษ 6

เป็นคนผิวค่อนข้างขาว นิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย คุณว่าไงก็ว่าตามกันไม่มีขัดใจ ช่างเอาอกเอาใจคนอื่น (รวมทั้งคุณด้วยแหละ) เลยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ใครๆ ก็รัก

เหลือเศษ 7

เนื้อคู่ของคุณเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยน อ่อนไหวง่าย รักอิสระ ไม่ชอบอยู่ที่ไหนนาน ชอบที่จะสนุกสนานไปเรื่อยๆ แต่จริงใจและจริงจังกับความรักนะ ไม่ชอบให้ใครบังคับ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น ชอบทำอะไรด้วยความสามารถของตัวเอง และชอบประดิษฐ์คิดค้น

เหลือเศษ 8

จะเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวสองสี ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่น ชอบพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา สังสรรค์ พูดคุยกับผู้อื่น เป็นคนเปิดเผย ง่ายๆ สบายๆ นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่และเป็นคนที่จริงจังกั บความรักมากๆ ถ้าคุณเป็นคนเจ้าชู้คงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะคู่ของคุณคนนี้เป็นคนขึ้หึงน่ะสิ

เหลือเศษ 9

เป็นคนผิวขาว เงียบๆ ช่างคิด ชอบคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว แต่มักจะคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง เลยไม่ค่อยแคร์คนอื่นเท่าไหร่ ชอบความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำระบอบเผด็จการเสียด้วยสิ


@@ วิธีทำนายเนื้อคู่จากหมายเลขบัตรประชาชน @@

นำเลข3ตัวสุดท้ายจากบัตรประชนหรือดูในทะเบียน บ้านบ้านก็ได้ นำเลข3ตัวนั้นมาบวกกัน เช่น 3 5877 850 89561 ก็เอาเลข 5+6+1 ได้ 12 แล้วเอา 1+2 ได้ 3 บวกให้ได้เลขตัวเดีย แล้วไปดูเนื้อคู่ของคุณเลย…

เลข 1

เป็นคนรักศักดิ์ศรี มาก เด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำที่ดี เรื่องความรักค่อนข้างละเอียดอ่อน ถือความรักเป็นใหญ่ ลงทุนเพื่อความรักได้ทุกอย่าง

เลข 2

เป็นคนไม่ชอบอยู่คนเดียว ค่อนข้างใจอ่อน มักมีคนมาหาเพื่อตักตวงผลประโยชน์ ความรักหวานแหววจนทำให้คนอื่นอิจฉา มีเสน่ห์ต่อเพื่อนตรงข้าม มาก เพื่อนฝูงรักใคร่

เลข 3

เนื้อคู่ของคุณไม่ค่อยดีนัก เพราะมีปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อย เรื่องความรักต้องระวังมือที่สาม มักมีคนมาทำให้แตกแยก ควรใส่ใจคู่รักของคุณ แม้จะมีปัญหาเข้ามามาก แต่ก็จะผ่านไปได้เสมอ

เลข 4

กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ เรื่องความ รักจัดว่าดีทีเดียว มีเพศตรงข้ามให้ความสนใจเสมอ ความรักจะ ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น

เลข 5

เป็นคนที่หยิ่งในตนเอง ไม่ชอบพึ่งพาใคร มักจะช่วยเหลือตัวเองมากกว่า ค่อนข้างเป็นคนคิดมาก เรื่องความรัก เลขนี้มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมาก แต่อย่าเลือกมากเกินไป ถ้ารอนานแล้วอาจจะรอเก้อ

เลข 6

ไมีมีปัญหาอะไรมากนักเอาตัวรอดได้ตลอดเวลา พยายามแต่งตัวดีๆ เข้าไว้จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตคุณ เรื่องความรักไม่มีปัญหาอะไร ต้องเลือกคนที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คนหมายเลขนี้ไม่ค่อยอยู่เป็นโสดนานนัก

เลข 7

เป็นคนที่ชอบเดินทางอยู่เสมอ เรื่องชีวิตดี แต่ความรักทำให้ปวดหัวบ่อยๆ ไม่ค่อยลงรอยกับคู่นัก อยู่ติดกัน แล้วจะมีปากเสียง พยายามอยู่ห่างๆกันบ้างก็ดี

เลข 8

เป็นคนขยัน กล้าตัดสินใจ เปิดเผย และไขว่คว้าสิ่งดีๆ เรื่องความรักไม่มีปัญหา แต่ บางที่สนุกจนลืมคนรัก ต้องให้เวลาคนรัก บ้าง

เลข 9

ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ไม่ต้องพึ่งคนอื่นมากนัก เรื่องความรักต้องระวังหน่อย เพราะจะทำให้ปวดหัว มีมือที่สามมาให้ยุ่งยาก

@@ วิธีทำนายเนื้อคู่โดยคำนวณจากอายุของชาย และหญิง @@

ตำราดูเนื้อคู่มีหลายประเภท ในที่นี้อาจารย์ได้นำวิธีการดูเนื้อคู่มาให้ดู โดย ในการคำนวนให้พิจารณาดังนี้

ท่านว่าการที่ชายกับหญิงจะได้กันหรือไม่ ให้เอาอายุของชายและหญิงมาผสมกัน หรือเรียกว่า บวกกัน เมื่อได้เท่าไรแล้ว เอา 7 หาร ถ้าผลได้ออกมาเท่าไรให้ทายดังนี้

ก. ถ้าผลที่ได้ออกมาเป็นเลข 1 หรือ 3 หรือ 0 ให้ทายว่าจะไม่ได้กันแน่
ข. ถ้าผลได้ออกมาเป็นเลข 2 หรือ 5 หรือ 6 ให้ทายว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่มีปัญหาหย่าร้าง
ค. ถ้าผลได้ออกมาเป็นเลข 4 จะได้กันแน่ อยู่ยืดยาว นานสุขสำราญ ไม่หย่าร้าง

@@ คำทำนายลักษณะเนื้อคู่,ฤกษ์เหมาะสม ของชาย และหญิงตามวันเกิด @@

วันอาทิตย์

ผู้ชายที่เกิดวันอาทิตย์

ลักษณะเนื้อคู่…

หนุ่มวันนี้จะพบรักสักที ก็ต้องมีคนเจรจานำทาง เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าที่จะเอื้อนเอ่ยวจีสื่อภาษารักเท่าไรนัก เกณฑ์เนื้อคู่จึงถูกชักนำจากเพื่อนฝูง แม่สื่อแม่ชักอยู่ตลอดเวลา สตรีที่เป็นเกณฑ์คู่อาจจะเป็นคนที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่เพิ่งมานึกปิ๊งทีหลังก็ได้ มักนิยมผู้หญิงร่างสันทัด ไม่นิยม คนสูงใหญ่ หรือเตี้ยเหมือนบอนไซ ผิวพรรณนั้น ไม่ว่าจะขาวเหมือนลูกจีน หรือดำดีเด็ดเหมือนนิโกรก็ไม่แยแส

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…

หนุ่มวันอาทิตย์ หากอยากเจอเนื้อคู่ที่เป็นคู่สร้างคู่สมกันแล้วละก็ ต้องพยายามที่จะแอบศึกษาวันเกิดของคนรักของตนให้ถ่องแท้ วันที่มั่นใจได้ว่าส่งเสริมกับดวงความรักของ หนุ่มวันอาทิตย์เป็นอย่างมาก ต้องเป็นสตรีที่เกิดวันจันทร์ วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ จึงเป็นดวงที่ถูกดวง ล็อกให้เกิดมาเป็นเนื้อคู่ที่สมพงศ์กัน ชายหนุ่มใดที่ฝากความรักและหัวใจไว้กับหญิงสาววันนี้แล้วละก็ รับรองได้ไม่มีวันที่หัวใจจะเป็นหนองอย่างเด็ดขาด

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…

ผู้ชายวันอาทิตย์ จะต้องไม่ใจอ่อนแกว่งเท้าหาเสี้ยน หรือแกว่งเท้าหาโลงศพอย่างเด็ดขาด ที่จะไปคิดร่วมหอลงเตียงกับสตรีวันที่ไม่สมพงศ์กับดวงคู่ เพราะจะขาดดวงคู่หนุน จุนเจือชะตาได้ การตั้งหลักอย่างมั่นคงในดวงคุณก็จะพลอยล้มเจ๊งละลายไปด้วย ยิ่งเป็นสตรีที่เกิดวันอาทิตย์แล้วจะร้อนรนวุ่นวายใจยิ่งกว่าตกอยู่ในภูเขา ไฟเสียอีกนะครับ

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…

การแต่งงานของหนุ่มวันอาทิตย์นี้ มีดวงสมพงศ์และกามเทพเห็นใจ สูงจึงมักมีดวงคู่เร็วกว่าวันอื่น ๆ หนุ่มวันอาทิตย์ มักจะได้ลองลิ้มชิมของอร่อยตั้งแต่ช่วงอายุ 21 - 27 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงปีที่คู่แต่งงานแล้ว มีความสมพงษ์ในดวงดาวเป็นอย่างมาก แต่งงานได้เนื้อคู่ก็เหมาะสม และดวงตั้งหลักสร้างตัวก็เด่นชัดมากหากลช่วงเลยอายุนี้ไป

ผู้หญิงที่เกิดวันอาทิตย์

ลักษณะเนื้อคู่…

ผู้หญิงวันนี้จะเจอคนเป็นเนื้อคู่ หรือเข้าร่วมสู่หัวใจของตนเองได้ โดยการอยู่ร่วมกัน หรือเครือญาติแนะนำให้นั่นเอง บางทีก็มักจะได้รับการผลักดันให้เจอเนื้อคู่ที่เหมือนถูกกลั่นแกล้ง สิ่ง-ไหนที่คุณไม่ชอบ สิ่งนั้นกลับเป็นสิ่งที่คนรักคุณชอบกระทำ ดวงชายในฝันจะต้องเป็นคนที่มีพลังอำนาจ เชื่อมั่นได้ว่าเป็นคนที่เป็นแรงนำคุณได้ ต้องเมียงมองหาคนที่ทำงานอยู่ในงานที่เกี่ยวกับราชการหรือ งานประจำ และงานเกี่ยวกับด้านการก่อสร้าง หรือต่างประเทศจึงจะดี ผิวพรรณลักษณะที่เห็นได้ชัดเจน ต้องเป็นคนสูงใหญ่หรือสันทัด ผิวค่อนข้างคล้ำดำแดงคนรักจะต้องเป็นคนที่มีวิชาความรู้

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…

ผู้หญิงวันนี้ หากว่าคุณคิดจะสละความโสด มุ่งเข้าสู่การแต่งงานควรที่ จะตรึกตรองให้ดี เพราะดวงของคุณยิ่งอายุมาก ยิ่งมีดวงการมีเนื้อคู่ที่เหมาะสมกับดวงชะตามาก ควรแต่งงานอยู่ในเกณฑ์อายุประมาณ 25 - 32 ปี ช่วงนี้เหมาะสม และพร้อมทุกด้านในด้านการมีคู่ และแต่งงาน

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…

เมื่อดวงชะตาของคุณได้พบเจอะเจอใครก็ตามที่เห็นว่าชอบพอกันแล้ว คุณควรนัดวันสมพงศ์ของเกณฑ์เนื้อคู่ไว้เป็นหลักดวงจะดีมาก ดวงความรักของการสมพงศ์ในดวงเนื้อคู่นั้น ควรจะเลือกรักผู้ชายที่เกิดวันอังคาร และวันพุธ ได้วันเหล่านี้เป็นคนรักก็รักคุณจริงเป็นสามีก็จะหลงคุณจนลืมไม่ลงก็ว่าได้ ดวงแต่งงานกว่าจะตั้งหลักได้ต้องใช้เวลาเล็กน้อย อย่างน้อยหลังจากแต่งงาน 3 ปีขึ้นไป จึงมีฐานะดีได้

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…

หากวันใดหัวใจของคุณมีปีก แล้วไปติดกับดักซาตานที่เกิดวันอื่นๆ ที่ไม่ใช่วันเด่น คุณต้องเตรียมจิตใจที่ต้องชอกช้ำ และปวดขมองไว้บ้างก็จะดี

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…

ผู้หญิงวันนี้ ถ้ามีดวงของบุตรบริวารควรจะมีบุตรบริวารได้ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับดวงชะตา ดวงของบุตรที่เกิดในวันเสาร์ หรือวันอังคาร เพราะดวงบุตรจะเสริมดวงชะตาของตัวคุณเองเป็นอย่างมาก ดวงจะรุ่งเรืองเป็นหลักปักฐานะได้ เมื่อมีบุตรได้เกิดในวันเหล่านี้ไว้จะดีมาก ควรจะมีได้ไม่เกิน 3 คน มากที่สุด เพราะหากมากกว่านี้ดวงชะตาจะตกต่ำได้ และไม่ว่าจะเป็นบุตรชาย หรือบุตรหญิงก็ตาม เสริมดวงของคุณมากเหมือนกัน


วันจันทร์

ผู้ชายที่เกิดวันจันทร์

ลักษณะเนื้อคู่…

หญิงในฝันของชายหนุ่มวันนี้ มักจะเลือกมองที่ความประทับใจเกี่ยวกับรูปร่าง และ สัดส่วนเป็นหลัก ชอบคนที่ค่อนข้างผิวขาวสะอาดสะอ้าน รูปร่างสันทัดไม่สูงโย่ง และเตี้ยต่ำเกินไปเอาอกเอาใจเก่ง และช่างเจรจาหว่านล้อมได้เป็นอย่างดี ยิ่งถูกอกถูกใจเป็นอย่างมาก มักจะได้แต่งงานกับคนต่างถิ่นกำเนิดกันหรือต่างชนชั้นกัน แต่แฝงความรักไปด้วยความจริงใจและใจที่บริสุทธิ์

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
หนุ่มวันจันทร์หากจะต้องเลือกคนรักถ้าให้ดีถือดวงรักสมพงศ์ ต้องแต่งงานกับสาวสวยวันพฤหัสบดี หรือวันเสาร์ จะเกื้อบุญหนุนนำดวงสมพงศ์ของชีวิตคู่เป็นอย่างมาก จะทำให้ชีวิตของครอบครัวอยู่ร่วมกันได้ และอะลุ้มอล่วยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะไฟธาตุของความรักก็ถูก โฉลกกันและเสริมส่งกันเป็นที่สุด และดวงความรักจะอยู่ร่วมกันก่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางด้านฐานะให้แก่กัน ได้อย่างมั่นคงมากทีเดียว

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
หากแม้ว่ากามเทพกลั่นแกล้งให้หนุ่มวันจันทร์ต้องปิ๊งสาววันอื่นที่ไม่เด่น ชัดในดวงคู่สมพงศ์ เขาเรียกว่าดวงเจอคู่เวรคู่กรรมกันก่อนแล้วละก็ ต้องระวังปัญหาการหย่าร้างเป็นอย่างมาก และอาจจะเจอะเจอปัญหาครอบครัวที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากกันไปได้ ต้องระวัง

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
อายุตั้งแต่ 24 - 29 ปี เป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายวันจันทร์ที่จะเริ่มมีคู่ครองประเภทเด็ก ฮาร์ทใจรุ่มร้อนก่อนเวลา รับรองได้หม้อข้าวไม่ทันก้นดำก็ต้องเลิกราหย่าร้างอย่างแน่นอน

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
หากจะมีบุตรแล้วละก็ผู้ชายวันนี้ควรมีบุตรได้ไม่เกิน 3 คน และบุตรที่เป็นวันเกิดที่สมพงศ์ดวงของผู้ชายวันจันทร์คือ วันอังคารกับวันเสาร์ บุตรบริวารจะได้เป็นที่พึ่งพาในวัน ข้างหน้าได้อย่างแน่นอน

ผู้หญิงที่เกิดวัน จันทร์

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้หญิงวันนี้มักจะเจอเนื้อคู่ด้วยมีสื่อสารหัวใจกามเทพเป็นผู้ชักนำทางให้ บางทีก็รู้จัก เพราะเป็นคนที่เพื่อนแนะนำให้หรือบางทีก็หัวอกชอกช้ำอันเดียวกันเข้าใจกัน ได้ ชายที่หล่อนมักจะเลือก มักเป็นคนที่มีลักษณะกำยำ เป็นสุภาพบุรุษดีเยี่ยม สตรีวันนี้มักจะชอบเอาอกเอาใจ และออดอ้อนออเซาะเก่ง ๆ เพราะหล่อนชอบวางตัวเป็นนางพญาหงส์ที่มาหลงรักหัวใจกาเสมอ และเกือบทุกคนจะได้เนื้อคู่ที่มีอายุมากกว่าตนเองหรือรักข้ามรุ่นเป็นส่วน ใหญ่

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
โดยส่วนมากผู้หญิงวันนี้ มักจะไม่เป็นสาวแก่หรือขึ้นคานง่ายเหมือน วันอื่น ๆ มากนัก เพราะว่าดวงของสตรีวันนี้มีดวงชีวิตคู่เข้ามาป้วนเปี้ยนในหัวใจอยู่สม่ำเสมอ ดวงชีวิต เกณฑ์คู่ของสตรีวันนี้ เหมาะที่จะแต่งงานในช่วงอายุ 21 - 29 ปี ช่วงนี้จะเป็นช่วงมงคลฤกษ์ที่อำนวยพร ชัยให้ดวงชีวิตคู่ราบรื่นได้เป็นอย่างดีทีเดียว แต่หากหลังจากอายุนี้ไปแล้ว จะมีเกณฑ์คู่ผ่าน ๆ หรืออยู่ร่วมกันโดยไม่มีพิธีรีตรองมากนัก

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
สตรีวันจันทร์คุณมักจะพบดอกรักหลายดอกผุดขึ้นมาให้คุณต้องการไปหมด แต่หากว่าคุณจะเลือกใครสักคน ที่คิดว่ามั่นใจอยู่ร่วมกันได้นั้น จะต้องเลือกหรือเล็งให้คะแนน ผู้ชายที่เข้ารอบที่เกิดวันพุธ วันเสาร์ จะเป็นวันที่สมพงศ์กับดวงความรักที่ฉ่ำหวาน ของสตรีวันจันทร์ มากกว่าผู้ชายวันอื่น ๆ และเมื่อได้ร่วมใช้ชีวิตร่วมกันก็จะยิ่งรุ่งเรืองพอกพูนมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกกว่าเดิม

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
หากวันใดเจ้าหล่อนเกิดไปหลงเสน่ห์หรือชมชอบกับชายที่เกิดวันอื่นที่ ไม่ใช่วันที่กล่าวมาจากที่เป็นวันเด่น ให้ระวังการมีปากเสียงของดวงชีวิตคู่เป็นอย่างมาก เพราะไฟธาตุ ของวันนั้นเป็นอริไม่เป็นดวงมหามิตรเหมือนดั่งวันพุธและวันเสาร์ และมีดวงที่ต้องพลัดพรากจากกันไป ก่อนเวลาอันสมควรแน่นอน

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
คุณมีดวงที่จะเป็นแม่ของลูก ที่ดวงชะตาถูกกับคุณมากไม่เกิน 3 คนถึง จะดีเป็นอย่างมาก แต่ถ้าให้รุ่งเรืองที่สุดต้องมี 2 คน เหมาะสมมาก ดวงวันเกิดของลูกที่เสริมดวงให้เป็น เจ้านายคน คือบุตรวันอาทิตย์ วันศุกร์ ดีมากทีเดียว


วันอังคาร

ผู้ชายที่เกิดวันอังคาร

ลักษณะเนื้อคู่…
เป็นคนที่มักมีความบอบช้ำหรือพบความรักมาแล้วหรือเป็นคนที่เคยมีแฟนมาแล้ว และมีนิสัยอ่อนหวาน นิ่มนวล ผิวพรรณต้องไม่ขาวจนเว่อร์และดำจนเป็นตับเป็ดยิ่งผิวดำแดงยิ่งเปรี้ยว เข็ดฟันถูกอกถูกใจเป็นพิเศษ รูปร่างไม่สำคัญแต่จุดเด่นมีขี้แมลงวันหรือไฝปานเด่นชัดบริเวณลำคอหรือใบ หน้า อายุน้อยกว่าหรือมากกว่าไม่เกิน 5 ปี เป็นลักษณะเนื้อคู่สมพงศ์มากของคนวันอังคาร

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ผู้ชายวันอังคารจะเลือกหญิงมาสถิตเป็นเนื้อคู่อยู่ในหัวใจ ต้องเลือกคนที่มีวันเกิดที่สมพงศ์ดวงความรัก คือผู้หญิงที่เกิดวันศุกร์ หรือวันอาทิตย์ จะเป็นดวงคู่ของความรักที่สมพงศ์ตามดวงวันเกิดมากที่สุด เมื่ออยู่ร่วมกันจะอุปถัมภ์ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีมากเลยที เดียวหากได้พบรักกับผู้หญิงวันศุกร์แล้วละก็ ถ้าทำการค้าจะได้ความสำเร็จ และรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ถ้ารับราชการจะได้เป็นถึงระดับบริหาร และได้รับเกียรติยศที่รุ่งเรือง หากได้แต่งงานกับหญิงวันอาทิตย์ จะมีความรุ่งเรืองเกี่ยวกับการทำการค้าขายเกี่ยวกับของหนัก ๆ หรือการก่อสร้าง นักลงทุน

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
หากเผลอใจไปหลงรักกับใครสักคนที่ไม่ได้เกิดวันที่เสริมดวงชะตากับดวงนั้น ชีวิตความรักจะต้องพบอุปสรรคขวากหนามเป็นอย่างมาก อาจจะต้องลำบากใจเกี่ยวกับญาติ โกโหติกาของคนรักหรือความรักมีอุปสรรคและความยากลำบากอย่างเห็นได้ชัดมาก มีบางท่านอาจจะต้องใช้เวรใช้กรรมร่วมกันจนต้องเป็นคนที่หน้าชื่นอกตรมเลยที เดียว

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
ผู้ชายวันอังคาร มีดวงสองช่วงของการแต่งงานที่สมพงศ์กับชะตา ช่วงอายุ 22 - 26 ปี ช่วงนี้หากต้องแต่งงานก็สร้างตัวได้เหมือนกัน แต่หากว่ายังไม่เจอที่ถูกใจ ดวงศรกามเทพจะมาทิ่มแทงอีกครั้งช่วงอายุ 30 - 36 ปี ช่วงนี้มีดวง ต้องสูญเสียอิสรภาพและความ บริสุทธิ์ไปแน่นอน

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ตามดวงควรมีบุตรได้ไม่เกิน 5 คน มากกว่าไม่ดี แต่น้อยกว่าไม่เป็น ไร ดวงของบุตรบริวารที่จะนำชื่อเสียง หรือความสำเร็จมาให้วงศ์ตระกูลเป็นอย่างมากคือบุตรที่เกิด วันศุกร์ และวันเสาร์ จะนำความเจริญรุ่งเรือง และความเสริมดวงความก้าวหน้าของบิดามารดาอย่างมาก

ผู้หญิงที่เกิดวัน อังคาร

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้หญิงวันอังคาร ชายที่จะมาร่วมใจเป็นเนื้อคู่ของสตรีวันนี้นั้น จะเป็นคนที่อยู่คนละถิ่นคนละแดนกำเนิด เช่นไม่ใช่เป็นคนที่เกิดในพื้นเพเดียวกัน มักคบหากันเป็นเวลาที่ไม่ยืดยาวมากนัก ดวงรักจะเสียหลักแต่งงานเพราะความเห็นใจและลูกตื๊อมากกว่า สตรีวันนี้ที่ต้องระวังอาจจะต้องแต่ง-งาน หรือมีดวงเนื้อคู่สองคนเสมอ อาจจะมีดวงอยู่แยกกันคนละแห่งในตอนแรก แล้วมีดวงกลับมาอยู่ ร่วมกันได้ ดวงแต่งงานที่เหมาะสมกับคุณนั้น เนื้อคู่มักจะเป็นคนที่มีความรู้ ความคิดความอ่านที่เป็น นักวิชาการ หรือนักวิจัยและนักลงทุนจึงจะดี และบางคนก็มีดวงเนื้อคู่เป็นคนต่างชาติ

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
ดวงเกณฑ์ของสตรีวันนี้ ต้องอยู่ในเกณฑ์ดวงที่เสริมชะตามากพอสม ควร อายุที่เหมาะสำหรับการมีคู่ของผู้หญิงที่เกิดวันอังคารนี้ควรจะเป็นช่วงอายุ 27 - 32 ปี ช่วงนี้ก็ยัง มากด้วยคุณภาพอย่างไม่น่าห่วงใย และหวาดระแวงว่าจะมีดวงถูกทอดทิ้งหลังการแต่งงานเด็ดขาด

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
สตรีวันอังคารเป็นคนที่ไม่ค่อยจะแต่งงานอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มมากนัก เพราะเป็นคนที่กตัญญู มีดวงต้องอุปการะช่วยเหลือพ่อแม่ และญาติพี่น้องมาก จึงมีเนื้อคู่เกณฑ์ ชะตาตลอดรอดฝั่งกับผู้ชายที่เกิดวันศุกร์ หรือวันจันทร์ ก็จะอยู่ร่วมกันได้ อาจจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่มีการจบลงด้วยเหตุและผลที่เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
สตรีวันนี้มีดวงที่ผิดหวัง และชอกช้ำกับความรักมากเช่นกันหากเจอกับเนื้อ คู่ที่ไม่สมพงศ์ และหากเจอะเจอกับผู้ชายที่เกิดวันอาทิตย์ หรือวันพุธจะมีดวงการแตกแยกและขัด แย้งกันมาก

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ผู้หญิงวันอังคารเป็นคนที่โปรดปรานรักเมตตาเด็กมาก ดวงลูกที่เสริม ดวงกันมาก ต้องมีลูกคนโตเป็นผู้หญิงจึงจะดีกว่าลูกผู้ชาย ดวงสตรีวันนี้มีบุตรได้ไม่เกิน 2 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงดวงไม่มีวันตกอับเด็ดขาด การเพิ่มพลังด้วยการมีบุตรบริวารเกิดวันจันทร์ หรือวัน ศุกร์ ยิ่งพอกพูนดวงชะตาพ่อแม่มาก


วันพุธ

ผู้ชายที่เกิดวันพุธ

ลักษณะเนื้อคู่…
มักมองอย่างถ่องแท้และเลือกมากจนแน่ใจว่าดวงชะตามีนิสัยสมพงศ์อุดมการณ์ไป กันได้จึงจะเริ่มจริงจังและตรึงใจ มักจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนร่วมอุดมการณ์กับความฝันที่ล่วงรู้จิตใจมาเนิ่น นานแล้วจึงเป็นเนื้อคู่จริง หรือคนร่วมงานหรือใกล้เคียงกัน ในสถานที่ทำงานแรกพบไม่ถูกชะตากันก่อน แต่ต่อไปก็จะยิ่งรักกันมากขึ้น ผู้หญิงของหนุ่มวันนี้มักจะเย่อหยิ่งถือตัวจนอยากจะเอาชนะ จึงกล่าวได้ว่าลักษณะนิสัยของหญิงดวงคู่ของผู้ชายวันพุธ มีความอ่อนหวานเชือดเฉือนอารมณ์ชายได้อย่างราบคาบทีเดียว ที่สำคัญชอบคนอายุน้อยกว่า

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ต้องอ้อนวอนให้กามเทพเห็นใจ ฝากศรเสน่ห์ที่หัวใจหญิงคนรักเป็นดวงสมพงศ์คู่สมพงศ์คือผู้หญิงที่เกิดวัน อาทิตย์ วันพุธ และวันจันทร์ จึงจะเป็นดวงคู่ที่สมพงศ์กัน

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ถ้าหัวใจซุกซนสะดุดเอาคนที่เกิดวันอื่นที่ไม่ใช่วันเด่น ไม่ใช่เป็นเนื้อคู่ แท้ชีวิตมีดวงความรัก อุปสรรคมากมายจะทำมาค้าขาย ก็ไม่รุ่งเรืองเท่าที่ควรนัก ดวงความรักจะไม่ สมบูรณ์ มีดวงจะสร้างปัญหา และทำให้เกิดความร้าวฉานขึ้นได้เสมอ บางท่านอาจจะต้องเจอะเจอ คู่เวรที่สร้างกรรมร่วมกันมาจึงต้องกัดฟันอดทนอดกลั้นต่อไป

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
ผู้ชายวันอังคาร มีดวงสองช่วงของการแต่งงานที่สมพงศ์กับชะตา ช่วงอายุ 22 - 26 ปี ช่วงนี้หากต้องแต่งงานก็สร้างตัวได้เหมือนกัน แต่หากว่ายังไม่เจอที่ถูกใจ ดวงศรกามเทพจะมาทิ่มแทงอีกครั้งช่วงอายุ 30 - 36 ปี ช่วงนี้มีดวง ต้องสูญเสียอิสรภาพและความ บริสุทธิ์ไปแน่นอน

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ช่วงอายุที่กามเทพจะดลใจ ช่วงชีวิตที่มีคู่แต่งงานแล้วสุขสดชื่นสบาย ใจเป็นช่วงที่คุณจะมีอายุ 26 - 32 ปี ช่วงนี้มีดวงคนรักคนชอบให้เลือกอย่างน่าตื่นเต้นมากมาย และดวงของความรักก็อยากสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างรวดเร็ว คุณเป็นคนที่ต้องการกำลังใจสูง จึงมักจะต้องการใครสักคนที่รู้ใจเป็นเพื่อน เป็นเงาเป็นชีวิตใหม่ที่ตามติดอยู่คู่คุณตลอดไป อยากให้ใช้ความเหมาะสม และความพร้อมเข้ามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจด้วย เพราะคุณเป็นคนชอบใช้อารมณ์ตัด-สินชะตาทำให้ล้มเหลวบ่อย ๆ นะครับ

ผู้หญิงที่เกิดพุธ

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้หญิงวันนี้นิยมชมชอบผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่และผิวสองสีและดำแดงมากกว่าขาว ลูกจีน และเป็นคนที่มักต้องเลือกคนรัก หรือเนื้อคู่ด้วยเหตุผลที่ว่าชายคนนั้นให้ความมั่นคงในชีวิต และครอบครัวของคุณในอนาคตได้นั่นเอง เนื้อคู่มักจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ดุจมิตรชิดใกล้ เพียงคุณปรายตาไปมอง ก็สามารถเข้าใจความในใจของเขาแล้ว ดวงเกณฑ์เนื้อคู่การหย่าร้างมีน้อยมาก เพราะดวงของคุณแข็งมาก ฉะนั้นผู้หญิงวันนี้จะโชคดีที่สามารถสัมปทานถาวรกับชายเดียวในดวงใจ กามเทพมักแผลงศรดอกรักให้ปักอกกับชายสูงอายุกว่าตนเอง หรือคนหนุ่มรุ่นเอ๊าะกว่าแต่หน้าตากร้าน และเป็นผู้ใหญ่ทางความคิดมากกว่าคุณ นั่นแหละเกณฑ์เนื้อคู่จริง

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
ผู้หญิงวันพุธ มีดวงคู่ที่เกิดขึ้นเป็นดวงเกณฑ์ชะตาสมพงศ์ได้สามช่วง คือ ช่วงแรกตอนอายุ 18 - 23 ปี ช่วงนี้เกณฑ์แต่งงานเด่นชัดมาก และมีดวงคู่จริงได้ขึ้นอยู่กับปีเกิดอีกที และช่วงที่สอง อายุ 27 - 28 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงความเจริญด้านการสร้างตัวตั้งหลักของดวงคู่ ช่วงที่สาม 31 - 35 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้หญิงบางคน อาจจะกลับใจกระโดดลงมาจากคานทองลองของอร่อยได้ผลดีเช่นกัน

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
หากหัวใจคุณคิดสยบหยุดโบยบินยึดรังนอนที่แน่นอนแล้ว วันสมพงศ์ของดวงคนรักของผู้หญิงวันพุธต้องควรคู่กับผู้ชายวันพุธด้วยกัน หรือวันศุกร์ และวันอาทิตย์ จะดีมาก เพราะดวงเป็นวันที่สมพงศ์เกณฑ์คู่เป็นอย่างมาก หากได้แต่งงานกับวันสมพงศ์ดังกล่าวแล้วละก็ มีดวงจะรุ่งเรือง และมีชื่อเสียงฐานะครอบครัวจะร่ำรวย

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
บางทีความรั้น และหัวใจที่ซุกซ่อนความเจ้าชู้ของคุณอาจจะทำให้ผู้หญิงวันพุธเจอะเจอ เนื้อคู่จอมปลอม หรือเป็นคู่เวรกัน ก็ต่อเมื่อได้รักชอบผูกพันกับชายในฝันที่ไม่ได้เกิดวันเด่นดังกล่าว การอยู่ร่วมกันอาจจะต้องพยายามอดทนความเจ็บช้ำและความกลุ้มอกกลุ้มใจให้มากๆ

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ผู้หญิงวันนี้ ไม่นิยมที่จะมีภาระวุ่นวายมากมายนักจึงไม่ค่อยดิ้นรนที่จะมีบุตรถ้าไม่จำ เป็นดวงหากมีบุตรมีได้ตั้งแต่ 1 - 5 คน จะเป็นดวงที่มีบุตรได้เหมาะสมกับดวงชะตา แต่ระบบการเกิดบุตรของผู้หญิงวันนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องระมัดระวังสุขภาพเป็นอย่างมากที่สุด ผู้หญิงวันนี้ถ้ามีบุตรชายจะเสริมดวงชะตาให้รุ่งเรือง และการสร้างครอบครัวก็รุ่งโรจน์โชติช่วงมากทีเดียว วันเกิดสมพงศ์ของบุตรของหญิงวันนี้ควรมีบุตรที่เกิดวันเสาร์ วันพุธ หรือวันจันทร์ไว้บ้างก็จะดีมาก


วันพฤหัสบดี

ผู้ชายที่เกิดวัน พฤหัสบดี

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้ชายที่เกิดวันพฤหัสบดีมักจะนิยมชอบผู้หญิงในหัวใจที่ค่อยข้างเรียบร้อย และสุภาพ มีมารยาทเป็นที่หนึ่ง หากเป็นผู้ลากมากดี ก็ยิ่งเต็งหนึ่งเลยทีเดียวไม่จำเป็นต้องสะสวย เลิศเลอ เหมือนนางสาวไทย แต่ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและเยี่ยมไว้ก่อน ผิวพรรณของหญิงที่ต้องชะตาในดวงใจ ชอบคนผิวค่อนข้างขาว รูปร่างอวบอั๋นยิ่งถูกใจ มักจะเป็นคนที่ร่วมความสัมพันธ์ในอาชีพเดียวกัน หรืองานที่ต้องต่อเนื่องสัมพันธ์ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ถ้าคิดจะเลือกเจ้าสาวในฝันหรือนางในหัวใจแล้วละก็ ควรจะดูวันที่ผูกพันสมพงศ์กัน วันคู่ที่แน่ใจได้ว่าชุ่มฉ่ำใจคือ หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ เป็นสตรีที่มีอุดมการณ์ที่เข้ากันได้ และหัวใจเข้าสเป็คเป็นอย่างมากเลย หากแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้วละก็ จะเกื้อกูลหนุนจุน เจือให้รุ่งเรืองได้อย่างมั่นใจได้เลยทีเดียว เพราะดวงชีวิตคู่จะส่งเสริมและผลักดันให้เกิดความสมพงศ์ขึ้นได้อย่างเป็นที่ น่าริษยาเลยจริง ๆ

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ถ้าประมาทเกิดพลั้งเผลอไปเจอะเจอเอาคนรักที่เกิดวันอื่นที่แตกต่าง จากวันเด่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็อาจจะต้องระวังปัญหาที่จะเกิดตามมา มีปากเสียง และการแตกแยกอย่างเห็นได้ชัดมาก ยิ่งถ้าหากเป็นสตรีวันอังคารแล้วละก็ ส่วนมากพันเปอร์เซ็นต์ที่จะแยกทางกันแน่นอน

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
หากไม่ดิ้นรน แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้วละก็ต้องรอจังหวะช่วงชีวิตเจอะเจอเนื้อคู่จริงในชีวิต ตั้งแต่ 30 - 35 ปี จะเป็นช่วงชีวิตที่จะตั้งหลัก และมีคู่เชิดชูวงศ์ตระกูลชีวิตไดอย่างดีเยี่ยม เนื้อคู่มักจะมีคนลุ้นแนะนำให้เจอะเจอกันมากกว่าค้นหาเอง

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ถ้าจะคิดผลิตทายาทแล้วละก็ผู้ชายวันนี้ควรจะมีบุตรตามความสมพงศ์ คือมีบุตรให้ลงจำนวนเป็นเลขคู่ไว้ก็จะดี อาจจะมีสองคนหรือมีสี่คนก็ได้ ดวงชะตามีลูกเลขคู่จะดีมาก ยิ่งบางท่านที่มีลูกแฝดด้วยจะยิ่งรุ่งเรืองอย่างมากทีเดียว ถ้าบุตรที่เกิดวันนี้จะไม่ดื้อดึงเลี้ยงยากหรือสั่งสอนยากนัก แต่ถ้าเป็นวันอื่น จะเอาแต่ใจและดื้อดึงมาก

ผู้หญิงที่เกิดวัน พฤหัสบดี

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้หญิงวันนี้มักมองผู้ชายที่นุ่มนวล หรือสุภาพท่าทางเป็นผู้นำทางด้านความคิดและ สามารถปราบพยศของเธอได้เป็นสำคัญ มักชอบคนที่มีความรู้ มีเกียรติ อาทิเช่น หมอ ทหาร หรือนักบิน วิศวะ เป็นต้น ประเภทเฉิ่ม ๆ หรือเป็นคนอีเดียตจะไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้หญิงวันนี้แน่นอน ลักษณะรูปร่างไม่เตี้ยกว่าหล่อน ยิ่งสูงสมาร์ตร่างใหญ่ยิ่งได้คะแนนนำ หากเป็นคนที่มีความรู้ และความกล้า หาญกล้าพูดกล้าทำยิ่งเป็นเนื้อคู่ที่ตรงสเป๊กเลยทีเดียว

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
ผู้หญิงวันนี้ดวงแต่งงานนั้น เป็นดวงอธิบดีธงชัยตอนช่วงอายุ 24 - 29 ปี ช่วง นี้ไม่ว่าคุณจะแต่งปีไหนก็ตาม เป็นโอกาสชีวิตคู่ที่เหมาะสมเป็นอย่างมากของคุณ ดวงแต่งงานอาจจะมี พิธีสองครั้งซึ่งเป็นได้ว่าคุณอาจจะหมั้นกันไว้แล้วจึงมาแต่งเป็นพิธีจริง ๆ อีกครั้งนั่นเอง

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ผู้หญิงวันนี้ หากคิดจะร่วมหอแต่งงานกับใคร วันของชายในฝันที่สวรรค์ ส่งมาเป็นเนื้อคู่ของหล่อนนั้น มีวันเสาร์ วันจันทร์ และวันพฤหัสบดี เป็นวันที่เป็นดวงเนื้อคู่ที่อยู่ร่วมกันได้ โดยมีปากเสียงกันเพียงแก้คันเท่านั้นเอง

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
เทวดาอาจจะแกล้งบังเอิญลองใจให้เจอชายวันอื่นที่ไม่ใช่วันสมพงศ์ และดวงชะตาชีวิตรัก มีดวงที่อาจจะต้องถูกทอดทิ้ง หรือแยกทางขาดกันได้ เพราะความไม่เข้าใจถึงอารมณ์และอุดมการณ์ร่วมกันนั่นเอง ผู้หญิงที่มีดวงต้องแต่งงานสองครั้งขึ้นไป มักจะเจอชายที่ไม่ได้วันสม-พงศ์เด่นชัดนั่นเอง

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ผู้หญิงวันนี้หากมีครอบครัว และมีบุตรถ้าเป็นบุตรวันเกิดเดียวกันหรือ วันอังคาร และวันศุกร์ ไว้บ้างจะนำโชคและความสำเร็จมาให้ในวันข้างหน้า มีดวงบุตรได้อยู่ในจำนวนที่เหมาะสมเสริมดวงดาวคือไม่เกิน 4 คน ดีมาก บุตรบริวารไม่ว่าหญิงหรือชายจะได้พึ่งพาอาศัยในวันข้างหน้าแน่นอน


วันศุกร์

ผู้ชายที่เกิดวันศุกร์

ลักษณะเนื้อคู่…
ผู้ชายวันนี้มักจะมองหญิงที่จะเป็นนางในหัวใจที่ลักษณะนิสัย ความเอาอกเอาใจและ ความเพียบพร้อมที่จะเป็นแม่ของลูกเขามากกว่าอย่างอื่น จึงมักจะเป็นคนที่เลือกคนที่มีลักษณะเป็น หญิงเรียบร้อย ที่ไม่ช่างพูดจนน่ารำคาญ และไม่อีเดียตจนน่าเซ็งเหมือนกัน จะต้องเป็นคนที่ใจสปอร์ต และอดทนต่ออารมณ์ของพ่อเจ้าประคุณได้ เพราะหนุ่มวันศุกร์ผีเข้าผีออกบ่อย ๆ มักจะได้คู่สร้างคู่สมที่ ส่งเสริมกับดวงชะตา และชีวิตการงานอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
นางในฝันที่จะร่วมฝันสร้างวิมานในอากาศอันเลิศเลอนั้น หากเป็นสตรีที่เกิด วันอังคาร หรือวันเสาร์ จะเป็นคู่สร้างคู่สมอย่างดีเยี่ยมมากเลยทีเดียว เพราะดวงของหนุ่มวันนี้ จะตั้งเนื้อสร้างตัวได้ต้องมี ดวงสตรีอุปถัมภ์เกื้อหนุนด้วยเสมอ

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
ถ้าเกิดตกหลุมพรางที่วางกับดักไว้ให้รักของสตรีวันอื่น ที่ไม่ใช่วันสมพงศ์แล้วละก็ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยจะลงตัวเท่าไรนัก หรือหาความเจริญรุ่งเรืองที่แน่นอนไม่ได้ ดวงไม่ส่งเสริมกันเท่าที่ควร มักจะมีฐานะไม่ร่ำรวย หรือต้องเลิกราหย่าร้างกันเป็นส่วนมาก ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่… เนื่องจากดวงโดยส่วนมาก หนุ่มวันนี้มักสนใจเรื่องความรักความใคร่มากตั้งแต่เริ่มรุ่นแตกพาน จึงมีดวงการมีคู่ที่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปได้สองช่วงด้วยกัน ที่ตกที่นั่งดวงคู่สมพงศ์เสริมดวงช่วงอายุ 23 - 37 ปี และช่วงที่ดีที่สุดอายุประมาณ 31 - 36 ปี

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร…
ผู้ชายเกิดวันศุกร์มักมีดวงมีบุตรมาก หรือมีก็ติดต่อเนื่องกันเป็นแถวเลย เขาเรียกว่า ชกโดยไม่ยอมขอพักตั้งตัว ดวงมีบุตรได้ควรจะอยู่ในช่วงสมดุลดวงดาวคือ 3 - 5 หากมีในระดับนี้บุตรจะมีความสำเร็จ และรุ่งเรืองได้อย่างดี และวันเกิดของบุตรที่สมพงศ์กับดวงของคุณ คือ วันจันทร์ วันพุธ และวันอาทิตย์ดีมาก

ผู้หญิงที่เกิดวันศุกร์

ลักษณะเนื้อคู่
ผู้หญิงวันนี้มักจะชอบคนขรึม หรือค่อนข้างสุภาพและไม่ช่างพูดช่างตอแหลเหมือน เธอไว้เป็นหลัก เพราะมักจะชอบผู้ชายที่เป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนช่างพูดช่างเจรจาจึงมักมีเสน่ห์ จนบาดอกบาดใจผู้ชายมากหน้าหลายตา ผู้ชายที่คิดจะเล็งผู้หญิงวันนี้ต้องสามารถเข้ากันได้กับบรรดาวงศาคณาญาติ ยาวเหยียดของเธอ แล้วแถมด้วยบรรดาเพื่อนฝูงของหล่อนอีกกอง ลักษณะผิวพรรณเนื้อคู่มักจะเป็นคนผิวดำแดง หรือค่อนข้างคล้ำเล็กน้อยจะเป็นคนที่ยอดปรารถนาเป็นอย่างมากอย่าเตี้ยเพราะ หล่อนมักรังเกียจคนเตี้ยกว่าเธอ และชอบคนสะอาดสะอ้าน อายุของผู้ชายคนรักมักจะไล่เลี่ยกัน หรือห่างต่างกันก็ไม่มากมายจนเกินไปจึงจะอยู่กันสโมสร ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่ ด้วยความช่างฝัน มีเสน่ห์อันแพรวพราวของผู้หญิงวันศุกร์ จึงมักจะมีเกณฑ์ผู้ชายหมายปองอยากเข้าร่วมใจอยู่ตั้งแต่วัยสาว ด้วยความเด่นที่เก่งกาจไม่ว่าจะเป็นด้านใดด้านหนึ่ง จึงมักมีคนรักปักใจ ตั้งแต่อยู่ในช่วงชีวิตนักศึกษา หรือช่วงอายุตั้งแต่ 19 - 27 ปี

วันสมพงศ์ของดวงเนื้อคู่
ผู้หญิงวันนี้ หากจะรักหรือคิดจะแต่งงานกับชายใด ควรจะดูฤกษ์ผานาที วันสมพงศ์ของดวงชะตาที่ส่งเสริมกันเสียก่อน เพราะดวงของคุณนั้นเหมาะสมกับผู้ชายที่เกิดวันอังคาร หรือ วันอาทิตย์ และวันพฤหัสบดี จึงจะมีดวงวันสมพงศ์ของดวงคู่กันเป็นอย่างดี เมื่อได้อยู่ร่วมกันแล้วจะยิ่งพยุงให้ดวงชีวิตครอบครัวรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่
คุณจะรักจะชอบหยอกเย้าเยินยอใครก็ได้ หากคิดว่ารักกันเพียงเสริมเสน่ห์เล่น ๆ ไม่คิดปักใจแต่งงานไม่ว่ากับผู้ชายวันไหนก็ได้ แต่ถ้าคิดแต่งงานหรือตั้งหลักฐานชีวิตร่วมกันแล้ว ไม่เหมาะสมกับผู้ชาย วันจันทร์เป็นที่สุดอย่าประมาทอย่างเด็ดขาดนะครับ

วันสมพงศ์ของบุตรบริวาร
ผู้หญิงวันนี้ ถ้าได้เป็นแม่คนจะรักลูกและถนอมเป็นอย่างมาก ดวงลูกจะเป็นแม่พันธุ์ที่เป็นได้ทั้งแบบประหยัดและลุกดกได้เช่นกัน แต่ดวงลูกที่เกิดวันสมพงศ์กับดวงของแม่มากที่สุดเป็นบุตรที่เกิดวันศุกร์ หรือวันเสาร์เท่านั้นที่จะรุ่งเรือง และยิ่งใหญ่ก้าวไกลในวันข้างหน้า


วันเสาร์

ผู้ชายที่เกิดวันเสาร์

ลักษณะเนื้อคู่…
กามเทพมักกลั่นแกล้งให้เจอะเจอความรัก ที่ซับซ้อนเสมอ หนุ่มวันนี้จึงมักเป็นคนที่มี ความรักหลายครั้งหลายหน หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยอกหักไม่ยักกะตายมาแล้วสักหน ดวงสะดุดกับความรักมักเจอะเจอด้วยความบังเอิญ และกามเทพชักนำอย่างออกหน้าออกตา ชอบการดูใจในระยะยาวมากกว่าจะแต่งงานอย่างฉับพลัน เนื้อคู่มักมีความรู้ และคู่ควรเดินทางกันได้อย่างดีเยี่ยม เป็นคนที่เกิดต่างถิ่น ต่างจังหวัด ต่างประเทศกัน ยิ่งส่งเสริมกันอย่างมาก ๆ

วันสมพงศ์ของเนื้อคู่…
หากคุณจะรักใครสักคนที่คุณสามารถมีความมั่นใจว่าไปด้วยกันได้ วันเกิดที่สมพงศ์กันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเลยทีเดียว สตรีที่เหมาะกับหนุ่มวันเสาร์ ควรจะเป็นคนที่ เกิด วันศุกร์ วันพฤหัสบดี หรือวันจันทร์ไว้จะดี และเป็นดวงความรักที่ส่งเสริมเป็นอย่างมาก หนุ่มวันนี้ ถ้ามีเล็งอยู่และหญิงคนนั้นเกิดวันสมพงศ์ดวงก็ขอให้รีบตีตราจองได้เลย อย่าลังเลใจ

วันไม่สมพงศ์ของดวงเนื้อคู่…
คุณจะเจ็บปวดและไร้คนที่จริงใจหากคุณได้อยู่ร่วมบนเส้นทางรักกับ สตรีที่ไม่ใช่วันสมพงศ์และสันเด่นนำชัย ยิ่งเป็นสตรีที่เกิดวันอังคารและวันเสาร์ด้วยกันแล้วละก็ ขอบอกได้เลยว่าดวงร้าวฉานและต้องตบตีกันมีค่อนข้างสูงเป็นอย่างมาก

วันสมพงศ์บุตรบริวาร…
ลูกที่ประดุจความหวังอันสูงสุดของผู้เป็นพ่อถ้าอยากจะสมหวังกับการมีลูก ที่เสริมดวงชะตา และรักษาวงศ์ตระกูลอย่างรุ่งเรืองแล้วละก็ ควรมีบุตรไม่เกิน 4 คน ดวงบุตรชายไม่ค่อย ได้ดังใจ แต่ก็ไม่เลวร้ายมากมาย แต่บุตรหญิงเสริมดวงเป็นอย่างมาก วันเกิดสมพงศ์ของบุตรวันเสาร์ วันศุกร์ วันพุธ ดีมาก บุตรจะได้รับชื่อเสียงและรุ่งเรืองในอนาคตมากมาย

ช่วงชีวิตที่เหมาะสมกับดวงคู่…
คุณผู้ชายวันเสาร์หากรีบร้อนลุกลนในการแต่งงานที่เร็วเกินไป ระวังต้องแยกทางกันอย่างแน่นอน หรือเมื่ออยู่ร่วมกันต่อไปความร้าวฉาน และความเซ็งก็จะเข้ามามีบทบาท หนุ่มใดแต่งงานในช่วงอายุ 24 - 29 ปี แล้วละก็มีดวงเลิกราอย่างเร็วมาก หรือทนอยู่เพื่อลูกอย่างซังกะตายเลยทีเดียว ชีวิตคู่ที่เหมาะสมกับดวงคู่สร้างคู่สมช่วงอายุ 31 - 32 ปี แต่งงานช่วงอายุนี้คุณเองจะรุ่งเรืองและมีพร้อมตามชะตาทุกประการ

ผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์

ลักษณะ เนื้อคู่
ผู้หญิงวันนี้มีดวงต้องพบเจอะเจอกับผู้ชายที่หวานหยาดเยิ้ม หรือคนช่างคารมเป็นส่วนใหญ่ มักจะได้แต่งงานกับคนที่มีอายุอานามมากกว่าตนเอง และมีชีวิตการงานที่มั่นคง กามเทพมักจะสร้างสถานการณ์ให้พบรักด้วยความไม่คาดฝันเสมอ จึงมักพบว่าผู้หญิงวันนี้จะได้เนื้อคู่ด้วยความฉับพลันมากกว่ามองกันมาเป็น ปีเป็นชาติ ผิวพรรณลักษณะของเนื้อคู่มักจะเป็นคนค่อนข้างขาวมากกว่า ผิวดำ และเจอะเจอความรักในสถานที่การเรียนการงาน หรือชีวิตที่หักเหมาเจอกันด้วยความสัมพันธ์ ทางการงานนำมาเป็นส่วนใหญ่บางราย

อุปนิสัย
ผู้หญิงวันเสาร์มักเป็นคนที่หัวรั้น และเชื่อมั่นในแนวความคิดอ่านของตนเองสูงมาก ชอบการทำตามอารมณ์สุนทรีของตนเองมากกว่าอยู่ในกรอบขอบเขตที่ถูกตีเส้นเน้น กรอบให้เดิน จึงมักถูกกล่าวหาเสมอในตอนวัยเด็กว่า เป็นคนที่แหกคอก หัวสมัยใหม่และเป็นคนที่ยอมรับสังคมได้อย่างเต็มที่ เขาเรียกว่า เป็นคนที่สมัยใหม่ปรับยุคได้ทุกโอกาส จิตใจ และห้วงอารมณ์จึงมักจะเป็นคนที่รักธรรมชาติชอบอิสระและเสรีของชีวิตมาก บางฉากมีบทบาทเหมือนแม่พลอย บางตอนก็ร้อนแรงเหมือนอีพริ้งเลยทีเดียว เป็นคนที่จริงใจกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ไม่สนไม่แคร์ไม่แยแสสังคมที่นินทากาเลเลยก็ว่าได้ กายไทยใจฝรั่ง จึงมีความมั่นคงต่อชีวิตและจริงใจกับวิถีชีวิตของตนเอง

การงาน
ผู้หญิงวันนี้มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมกับงานที่เป็นอิสระ หรืออยู่ตามเส้นทางของอารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่ จึงมักทำงานทางด้านศิลปะหรืองานที่ต้องช่างคิด และช่างฝันเป็นพิเศษได้ดีกว่างานด้านอื่น ๆ ความเหมาะสมของงานที่เกี่ยวกับการบันทึก หรือมีเรื่องราวของตัวเลข และระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องก็รุ่งได้อีกทาง แต่หากผู้หญิงวันนี้ค้าขายเกี่ยวกับการเปิดร้านอาหาร หรือของกินของใช้ดวงไม่เหมาะสม หรืออาจจะโดนกลั่นแกล้ง โดนโกงได้อย่างเด่นชัดหากอยู่ไม่นิ่ง คิดค้าขายต้องลองทำเกี่ยวกับทางด้านที่ดินหรือเกี่ยวกับเดินนายหน้าค้า ประกันดูซิ ก็พอมีทางร่ำรวยได้

ความรัก
ผู้หญิงวันนี้เป็นคนที่มีไฟรักที่เร่าร้อนรุนแรง จึงมองแง่ความรักเป็นสิ่งที่จริงใจ และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ความรักของผู้หญิงวันนี้จึงมักจะมองคนที่มีหน้าที่การงานเกี่ยวกับการบริหาร หรืองานทางด้านที่เกี่ยวกับการติดต่อต่างประเทศ บางทีหัวใจประกายความรักของคุณจึงมักเจอะเจอรักนอกพรมแดนที่ไร้กำแพงกั้น สม่ำเสมอเหมือนกัน อุปสรรคของความรักของคุณ มักจะมาจากหูเบาและเชื่อเพื่อนฝูง ญาติมิตร ยุยงส่งเสริมให้หายนะได้ ต้องมั่นคงและมองความต้องการในก้นบึ้งหัวใจตนเองให้ออกว่าต้องการอะไรกันแน่ จึงจะเจอะเจอรักแท้ที่ไม่มีวันที่จะละลายจากไปได้

สำหรับของท่านหญิง http://www.narak.com/webboard/show.php?No=140157

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

สูตรปุ๋ย ยางพารา และการกรีดยาง


บริเวณที่ใส่ปุ๋ย

ระยะแรกหลังจากปลูก ยาง รากของต้นยางจะแผ่ออกเป็นวงกลมรอบลำต้น ประมาณปีที่ 4 รากจึงจะแผ่ขยายออกไปจนถึงกึ่งกลางระหว่างแถวยาง และเมื่อต้นยางมีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป รากก็จะแผ่ขยายเพิ่มขึ้นและหนาแน่น อยู่ในบริเวณห่างจากลำต้น ประมาณ 60 เซนติเมตร จนถึง 3 เมตร ดังนั้นเพื่อให้การ ดูดอาหารของต้นยางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรใส่ปุ๋ยบริเวณ ที่มีรากดูดอาหาร หนาแน่นคือเมื่อต้นยางยังเล็กควรใส่ปุ๋ยเป็นวงกลม รอบลำต้น ส่วนต้นยาง ที่มีออายุตั้งแต่ 17 เดือนขึ้นไป ให้หว่านปุ๋ยกระจายสม่ำเสมอเป็นแถบยาว ไปให้แถวยาง ห่างจากโคน ต้นยางข้างละ 1 เมตร เมื่อยางมีอายุ 5 ปีขึ้นไปให้หว่านปุ๋ยเป็นแถบกว้างห่าง จากโคนต้นยางอย่างน้อย 50 เซนติเมตร และขยายออกไปถึง 3 เมตร สำหรับยาง ที่เปิดกรีด แล้วให้หว่านปุ๋ยทั่วแปลงห่างจากโคนต้นยางข้างละ 1 เมตร


การใช้ปุ๋ยให้ตรงกับสภาพดินของเรามากขึ้น เราต้องรู้ว่าดินในสวนยางพาราของเรา มีธาตุไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซี่ยม ในระดับใด (สูง – กลาง – ต่ำ) และ ค่าความเป็นกรด-ด่าง(pH) เท่าใด
มีวิการตรวจสภาพดินอยู่ 2 วิธี
1. การใช้กระดาษลิบมัส
เราสามารถทำกระดาษลิตมัสจากสีของดอกไม้ได้ เช่น ดอกชบาซ้อน ดอกอัญชันสีม่วงดอกกระเจี๊ยบ วิธีการทำก็ง่ายๆ คือ1.ตัดกระดาษวาดเขียสความกว้าง 1 เซนติเมตร ความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร และ นำดอกไม้ที่กล่าวไว้นำมาขยี้กับน้ำเปล่าสะอาด ให้ได้สีของดอกไม้ชนิดนั้น และ นำกระดาษที่ตัดเตรียมไว้ นำลงไปแช่ในน้ำที่มีสีของดอกไม้อยู่ สักพัก ก็นำมาตากแดดให้แห้งสนิท และลองทดลอง กับ สารแอซิติก หรือ น้ำส้มสายชู ว่ามีการเปลี่ยนสีหรือเปล่าถ้ามีการเปลี่ยนสี แสดงว่ากระดาษลิตมัสจากสีของดอกไม้ได้ผลจริง

2. วิธีวัด pH มีหลายวิธีครับ
1. ใช้เครื่องทดสอบ pH ดิน
2. ใช้กระดาษลิตมัส
3. ใช้น้ำยาทดสอบของ ภาควิชาปฐพีวิทยา ม.เกษตรศาสตร์
แต่ pH ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชนะครับ
ถ้าจะดูแบบละเอียดต้องส่งดินไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จะสามารถ
บอกคุณสมบัติของดินออกมาได้ทั้งหมด แต่ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายราคา
ค่อนข้างสูงเช่นกัน
เครื่องทดสอบ pH หาได้จากศึกษาภัณฑ์

หมอดินหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด หรือที่สถานีพัฒนาที่ดิน/สามารถเอาดินไปตรวจได้ที่พัฒนาที่ดินจังหวัด- ตรวจขั่นต้นก็ดูสภาพดินว่าเป็น ดินลูกรัง หรือดินร่วน หรือดินเหนียว ดินทราย ลองขุดดู ถ้ามีร่วนซุยมีฮิวมัส(ซากพืชซากสัตว์มากก็สันนิฐานว่าดินน่าจะดีครับ)
- ตรวจกรด-ด่าง ของดิน โดยเก็บตัวอย่างดิน ในไร่สัก 10 จุด เอาไปให้ กรมพัฒนาที่ดินตรวจดู หรือ ขอให้หมดดินมาตรวจให้ก็ได้ครับ

วิธีง่ายๆ ในการทดสอบดินเปรี้ยวหรือดินเค็ม ก็คือ ลองตักดินหนึ่งช้อนโต๊ะใส่ในน้ำฝน 1 แก้ว และเติมแอมโมเนียลงในแก้วประมาณ เศษ 2/3 ของแก้ว คนให้เข้ากันและทิ้งไว้สองชั่วโมงผลที่ได้ถ้าหากน้ำใสคือดินมีความเค็ม หากน้ำยังขุ่นอยู่หมายถึงดินเปรี้ยวและเป็นกรด...ลองดูนะครับ

http://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:w7pXIPXrFYoJ:202.29.77.139/globe/handbook/soil/intro8-11.pdf+%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99&hl=th&gl=th&pid=bl&srcid=ADGEESjkN0ja-ThV6s2yXUiPtjvudRX2jL_wX1i2t_4HvkPhUH6rMPkGzjYQO6M32x7GlA-Slj9GY0yfv3p-_DQocP5tL7WgROomiwiT9_5nHFM0ztsBJFawnooiQ2MntUqs0KGz6qd4&sig=AHIEtbQxYUC7XYW5ohhoDHpdxWFxFIyVdw

นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ ทำให้ราคาปุ๋ยปรับตัวสูงตามขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เช่นกัน และในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ราคาน้ำมันได้ขึ้นสู่จุดสูงสุด ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราต้องเจอกับภาวะราคาปุ๋ยที่แพงสุด ๆ เท่าที่ผ่านมา โดยราคาปุ๋ยเคมีสำหรับยางพาราสูตร 20-8-20 (เต็มสูตร)ได้สูงถึง 31 บาทต่อกิโลกรัม หรือกระสอบละ 1,550 บาท และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็มีข่าวเกี่ยวกับปุ๋ยปลอมหรือปุ๋ยเคมีต่ำกว่า มาตรฐาน อยู่ทั่วไปในท้องตลาด ยังความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราทั่วประเทศ ดังนั้น ในการจะซื้อปุ๋ยยางพาราจึงควรต้องมีหลักในการพิจารณา ดังนี้

1. พิจารณาเลือกสูตรปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาพดินและอายุต้นยางพาราโดยอาศัยค่า จากการวิเคราะห์ดิน แต่หากไม่สามารถวิเคราะห์ได้ ให้พิจารณาปุ๋ยสูตรทั่วไป คือ ถ้าเป็นสวนยางพาราในระยะก่อนให้ผลผลิต สูตรที่สามารถใช้ได้ คือ สูตร 20-8-20, 25-7-7, 19-6-5, 18-4-5 หรือ 20-10-5 แต่ถ้าเป็นสวนยางพาราในระยะเปิดกรีดหรือให้ผลผลิตน้ำยาง สูตรที่ใช้ได้ เช่น สูตร 29-5-18, 15-7-18
2. บนกระสอบปุ๋ยจะต้องระบุรายการต่าง ๆ อาทิ มีคำว่า "ปุ๋ยเคมี" หรือ "ปุ๋ยเคมีมาตรฐาน", มีชื่อการค้าและเครื่องหมายการค้า, แสดงปริมาณธาตุอาหารรับรอง เช่น สูตร 20-8-20, ต้องแจ้งชื่อผู้ผลิต, สถานที่ผลิตหรือสถานที่นำเข้าหรือสั่งซื้อปุ๋ยเคมีเข้ามาในราชอาณาจักร และชื่อผู้ผลิตในต่างประเทศด้วย, ต้องระบุเลขทะเบียนที่ออกโดยกรมวิชาการเกษตร, ต้องแสดงน้ำหนักสุทธิในระบบเมตริก(กิโลกรัม), ปุ๋ยเคมีบางชนิดอาจแสดงชนิดและปริมาณธาตุอาหารรอง หรือธาตุอาหารเสริมไว้บนกระสอบด้วย ก็ได้
3. Q shop-สินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพถึงแม้ว่าที่ข้างกระสอบจะมีตัวเลขแสดงปริมาณธาตุอาหารรับรอง เช่น สูตร 20-8-20 ก็ตาม เพื่อให้แน่ใจมากขึ้นว่าจะได้ปุ๋ยตรงสูตร เราจึงควรซื้อปุ๋ยยางพาราจากแหล่งจำหน่าย หรือแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ, มีใบอนุญาตให้จำหน่ายปุ๋ยถูกต้องตามกฎหมาย ยิ่งถ้าเป็นร้านที่มีการรับรองจากกรมวิชาการ กระทรวงเกษตรฯ เช่น ร้านที่ได้ รับ Q Shop ก็จะเป็นการดีมาก (Q Shop เป็นโครงการมอบตราหรือสัญลักษณ์ให้แก่ร้านขายสินค้าเกษตรและอาหารมีคุณภาพ และมีความปลอดภัย จากกรมวิชาการเกษตร เพื่อแสดงว่าเป็นร้านที่มีคุณสมบัติตามที่กรมฯ กำหนด และมีความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนสามารถถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยและสารเคมีเกษตรอย่างถูกต้องแก่ เกษตรกรได้)
4. ในกรณีที่มีปุ๋ยเคมีมากกว่าหนึ่งสูตรให้เลือก หากเรโชปุ๋ยเป็นเรโชเดียวกัน การเลือกซื้อควรพิจารณาราคาต่อหน่วยธาตุอาหารรวม หากสูตรใดต่ำกว่าก็ควรซื้อสูตรนั้น ไม่คิดแต่เพียงราคาปุ๋ยต่อน้ำหนัก
5. ไม่ซื้อปุ๋ยที่แบ่งบรรจุ เพื่อป้องกันการปลอมปน
6. ในการสั่งซื้อปุ๋ย เกษตรกรชาวสวนยางพาราควรรวมตัวกันซื้อคราวละมาก ๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ต่ำและประหยัดค่าขนส่ง ถ้าเป็นไปได้ ก็น่าจะตั้ง “กองทุนปุ๋ย” แต่ละหมู่บ้าน
7. ซื้อปุ๋ยเคมีที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องโดยมีเลขทะเบียนของกรมวิชาการเกษตร อยู่ข้างกระสอบ
8. ควรขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้งที่ซื้อขาย เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินการทางคดี หากปุ๋ยที่ซื้อมามีคุณภาพไม่ถูกต้อง
9. ไม่ควรขายกระสอบปุ๋ย หรือถุงบรรจุปุ๋ยเคมีที่ใช้หมดแล้ว เพราะอาจมีการนำไปบรรจุปุ๋ยเคมีปลอมมาจำหน่าย
10. หากจำเป็นต้องซื้อปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ควรซื้อที่มีคุณภาพดีและควรมีรายละเอียดข้างกระสอบ เช่น จำนวนและสายพันธุ์จุลินทรีย์, ปริมาณจุลินทรีย์ที่มีชีวิตต่อปุ๋ย 1 กรัม, ความชื้น, วันเดือนปีที่ผลิต, วันเดือนปีที่หมดอายุ เป็นต้น

ธาตุอาหารพืชที่พืชหรือที่ยางพาราต้องการและจำเป็นต้องได้รับอย่างพอ เพียงมีอยู่ทั้งหมด 16 ธาตุ ได้แก่ ธาตุคาร์บอน, ออกซิเจน, ไฮโดรเจน, ไนโตเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน, เหล็ก, แมงกานีส, โบรอน, โมลิบดินัม, ทองแดง, สังกะสี และคลอรีน

ธาตุอาหารพืช 3 ธาตุแรกคือ ธาตุคาร์บอน, ออกซิเจน และ ไฮโดรเจน พืชหรือยางพาราได้รับจากธรรมชาติ พืชรับธาตุ คาร์บอน และออกซิเจน จากอากาศ โดยรับธาตุคาร์บอนเข้าทางปากใบ (Stomata) ในรูปกาซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และได้รับออกซิเจนในรูปก๊าซออกซิเจน (O2) ทางปากใบและที่ผิวของราก และพืชได้รับไฮโดรเจนจากโมเลกุลของน้ำในรูปของไฮโดรเจนอะตอมจากขบวนการ สังเคราะห์แสงของพืชเอง เนื่องจากในสภาพธรรมชาติมีธาตุอาหารเหล่านี้อยู่อย่างเหลือเฟือ พืชจึงไม่ขาดธาตุเหล่านี้ เราจึงมักไม่มีการพูดถึงธาตุเหล่านี้กัน

ธาตุอาหารพืชอีก 3 ธาตุต่อมา คือ ธาตุไนโตเจน, ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม เป็นธาตุอาหารที่สำคัญมาก และพืชต้องการเป็นปริมาณมาก ๆ จึงเรียกว่า ธาตุอาหารหลัก หรือ Macronutrient elements หรือ Primary elements ซึ่งหากเป็นดินที่ปลูกยางพารามาเป็นระยะเวลานาน ส่วนมากมักจะขาดธาตุเหล่านี้

ธาตุอาหารพืชอีก 3 ธาตุต่อมา คือ ธาตุแคลเซียม, แมกนีเซียม และ กำมะถัน เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการเป็นปริมาณมากเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าธาตุอาหารหลัก และมักเป็นธาตุที่โดยปกติจะมีอยู่ในดินค่อนข้างมากเพียงพอกับความต้องการของ พืชทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหามากนัก และถูกเรียกว่า ธาตุอาหารรอง หรือ Secondary elements

ธาตุอาหารพืชอีก 7 ธาตุสุดท้าย คือ ธาตุเหล็ก, แมงกานีส, โบรอน, โมลิบดินัม, ทองแดง, สังกะสี และคลอรีน เรียกว่า จุลธาตุ หรือธาตุอาหารเสริม หรือ Micronutrient elements หรือ Trace elements เพราะเป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการเพียงปริมาณน้อย แต่ขาดไม่ได้เช่นกัน

ปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารหลักอยู่ 3 ธาตุด้วยกันคือ
ไนโตรเจน (N)
ฟอสฟอรัส (P) และ
โพแทสเซียม (K)
ซึ่งจะแสดงไว้ในสูตรปุ๋ยเป็นลำดับของตัวเลขสามชุด เช่น 16-16-8 หมายถึงปุ๋ยเคมีที่มี ไนโตรเจน 16% มีฟอสฟอรัส 16% และโพแทสเซียม 8% ตามลำดับ และธาตุอาหารหลักทั้ง 3 ธาตุ สามารถได้จากแม่ปุ๋ยดังต่อไปนี้

ยู เรีย (Urea) 46-0-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุไนโตรเจน
แดป (Di-Ammonium Phosphate - DAP) 18-46-0 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุฟอสฟอรัส
มอป (Muriate of Potash - MOP) 0-0-60 แม่ปุ๋ยสำหรับธาตุโพแทสเซียม

ธาตุไนโตรเจน

ธาตุไนโตรเจนต่อต้นยางพาราโดยธรรมชาติ ธาตุไนโตรเจนในดินจะมาจากการสลายตัวของสารอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์จะเป็น ผู้ย่อยสลายและปลดปล่อยธาตุไนโตรเจนออกมาในรูปของอนุมูลสารประกอบ เช่น แอมโมเนียมไอออน (NH4+) และไนเทรตไอออน (No3-) แต่เนื่องจากในขณะนี้ดินมักมีอินทรีย์วัตถุเหลืออยู่น้อย จึงทำให้ไนโตรเจนในดินมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืชหรือต้นยางพารา เราจึงต้องใส่ปุ๋ยเคมีลงไปในดินเพื่อเพิ่มธาตุไนโตรเจนให้แก่ดินและพืชหรือ ต้นยางพารา นอกจากนี้ ในความเป็นจริง ธาตุไนโตรเจนมีอยู่อย่างมากมายในอากาศในรูปของก๊าซไนโตรเจน แต่พืชโดยทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย ยกเว้น พืชตระกูลถั่ว รวมทั้งพืชคลุมดินตระกูลถั่วด้วย เท่านั้น ที่มีระบบรากพิเศษที่ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปก๊าซไนโตรเจนจากอากาศมาเป็นธาตุ ไนโตรเจนที่ปมรากได้ ซึ่งเรียกขบวนการนี้ว่า “Nitrogen fixation”

ธาตุไนโตรเจน เป็นธาตุที่สำคัญมากในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นยางพาราในระยะก่อนให้ ผลผลิต และในระยะที่ต้นยางพาราให้ผลผลิตน้ำยางแล้ว ธาตุไนโตรเจนทำ ให้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มมากขึ้น ธาตุไนโตรเจนจึงเป็นธาตุอาหารที่ต้นยางพาราต้องการตลอดชีวิต ปุ๋ยที่เหมาะสำหรับยางพาราจึงมักเป็นปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เช่น 20-8-20, 25-7-7 หรือ 29-5-18 เป็นต้น
ธาตุฟอสฟอรัส

แหล่งที่มาของธาตุฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินมาจากการสลายตัวผุพังของ หินแร่ในดิน การสลายตัวของสารอินทรียวัตถุในดินก็สามารถปลดปล่อยฟอสฟอรัสออกมาเป็น ประโยชน์ต่อพืชที่ปลูกได้เช่นกัน ธาตุฟอสฟอรัสในดินที่จะเป็นประโยชน์ต่อพืชได้จะต้องอยู่ในรูปของอนุมูลสาร ประกอบที่เรียกว่า ฟอสเฟตไอออน (H2PO4- และ HPO4-) ซึ่งจะต้องละลายอยู่ในน้ำในดิน

ในความเป็นจริง ธาตุฟอสฟอรัสในดินมักมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มักละลายน้ำได้ยาก ดังนั้น จึงไม่อาจเป็นประโยชน์กับพืชหรือต้นยางพาราได้ นอกจากนี้ อนุมูลฟอสเฟตที่ละลายน้ำได้ มักจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่าง ๆ ในดิน ดังนั้น เมื่อเราใส่ปุ๋ยฟอสเฟตที่ละลายน้ำได้ลงไปในดิน ประมาณร้อยละ 90 จะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุในดินกลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยาก จนไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยฟอสเฟต จึงไม่ควรคลุกเคล้ากับดิน เพราะจะทำให้ปุ๋ยฟอสเฟตทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่างๆ ในดินได้เร็วขึ้น จึงควรจะใส่ปุ๋ยฟอสเฟตแบบเป็นจุดหรือโรยเป็นแถบให้ถึงระดับบริเวณที่มีราก ของยางพาราอยู่ ปุ๋ยฟอสเฟตถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดหรือติดอยู่กับรากของยางพารา ก็จะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ดังนั้น ในการปลูกยางพารา เราจึงควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหินฟอสเฟต(0-3-0)ก่อน

ธาตุฟอสฟอรัส จะทำให้ระบบรากของพืชและต้นยางพาราในระยะแรก ๆ แข็งแรงแพร่กระจายไปในดินอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็จะทำให้สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารพืชได้ดี สำหรับพืชอื่น ธาตุฟอสฟอรัส จะช่วยในการออกดอกและติดผลดีขึ้น เร็วขึ้น
ธาตุโพแทสเซียม

ธาตุโพแทสแซียมต่อต้นยางพาราธาตุโพแทสเซียมในดินมาจากการสลายตัวของหินและแร่หลายชนิด โพแทสเซียมที่อยู่ในรูปอนุมูลบวก หรือโพแทสเซียมไอออน (K+) เท่านั้นที่พืชจะดึงดูดไปใช้เป็นประโยชน์ได้ อนุมูลโพแทสเซียมในดินมักพบอยู่รอบ ๆ ผิวของอนุภาคดินเหนียว ดังนั้นดินที่มีเนื้อดินละเอียด เช่น ดินเหนียว จึงมีปริมาณของธาตุโพแทสเซียมสูงกว่าดินที่มีเนื้อหยาบ เช่น ดินทราย หรือดินร่วนปนทราย ถึงแม้โพแทสเซียมไอออนจะดูดยึดอยู่ที่อนุภาคดินเหนียว แต่รากพืชหรือยางพาราก็สามารถดึงดูดธาตุนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย ๆ พอ ๆ กับเมื่อมันละลายอยู่ในน้ำในดิน

ธาตุโพแทสเซียมมีความสำคัญในการสร้างและการเคลื่อนย้ายอาหารพวกแป้งและ น้ำตาลไปเลี้ยงส่วนที่กำลังเติบโต และส่งไปเก็บไว้เป็นเสบียงที่หัวของพืชหรือที่ลำต้น สำหรับต้นยางพาราในระยะเปิดกรีดหรือระยะให้ผลผลิต ธาตุโพแทสเซียมทำ ให้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มมากขึ้น ปุ๋ยที่เหมาะสำหรับต้นยางพาราระยะนี้ คือปุ๋ยที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงด้วย เช่น 15-7-18 หรือ 29-5-18 เป็นต้น



การใส่ ปุ๋ย
สูตรปุ๋ยยางพาราที่กรมวิชาการ เกษตรแนะนำให้ใช้อยู่ในปัจจุบันมี 6 สูตร แต่ละสูตรจะเหมาะสมกับเนื้อดินและ อายุของ
ต้นยางแตกต่างกัน ดังแสดงไว้ ในตารางที่ 3

ตารางที่ 3 แสดงสูตรปุ๋ยที่ มีความเหมาะสมกับเนื้อดินและอายุของต้นยาง


- ดินทราย คือดิน ที่มีเนื้อดินส่วนใหญ่เป็นดินทราย อุ้มน้ำไม่ดี ถูกชะล้างได้ง่ายตรึงธาตุอาหาร ได้น้อย
มีโปแตสเซียมต่ำ
- ดินร่วน คือดินที่มีเนื้อดินละเอียดพอสมควร อุ้มน้ำ ได้ดี มีการระเหยน้ำและถ่ายเทอากาศพอเหมาะ
ตรึงธาตุอาหารได้มากพอสมควร มีโปแตสเซียมตั้งแต่ปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ
- ปุ๋ยเม็ด คือปุ๋ยที่ได้จากการนำวัตถุดิบให้กำเนิดปุ๋ยไป ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีตามขั้นตอนต่างๆ
ปุ๋ยที่ได้จะเป็นเนื้อเดียว กัน ปุ๋ยแต่ละเม็ดจะมีองค์ประกอบของธาตุเหมือนๆ กัน เช่นปุ๋ยสูตร 15-7-18, 15-15-15 จัดเป็นปุ๋ยเคมีตามพ ระราชบัญญัติปุ๋ย เป็นปุ๋ยที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดและมีผู้ นิยมใช้มากที่สุด
- ปุ๋ยผสม คือ ปุ๋ยที่ได้จากการนำแม่ปุ๋ยหรือปุ๋ยเชิง เดี่ยวมาผสมด้วยวิธีกลโดยไม่ผ่านกรรมวิธีทาง เคมี เช่น
นำเอาปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยร้อคฟอสเฟตและปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์มา ผสมคลุกเคล้ากันในอัตราส่วนต่างๆ เพื่อให้ได้ปริมาณธาตุอาหารตามต้องการ แล้วนำไป ใช้ทันที เป็นต้น

ปุ๋ยผสมสำหรับสวนยางจะใช้ แม่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตร้อคฟอสเฟตและโปแตสเซียม คลอไรค์ผสมกันในอัตราส่วน
ที่แตกต่างกันไปตามสูตร ปุ๋ยทั้ง 6 สูตร ดังแสดงไว้ในตารางที่ 4


หมายเหตุ - ควรผสมปุ๋ยบนพื้นซีเมนต์ โดยคลุกเคล้าแม่ปุ๋ยที่ ใช้ผสมให้สม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อผสมแล้วควรใช้ทันที ปุ๋ยจะไม่แข็งตัว และ ควรผสมให้ใช้หมดภายในครั้งเดียว



การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรืออินทรีย์ชีวภาพ ถ้าใช้ได้ก็จะดีมาก ๆ แต่ขอให้เข้าใจว่าปุ๋ยประเภทนี้ ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยเคมีได้ 100 % เนื่องเพราะว่ามาตรฐานปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในปุ๋ยขั้นต่ำที่กำหนดไว้ โดยกรมวิชาการเกษตรคือ 1-0.5-0.5 เท่านั้นเอง แต่จุดเด่นของปุ๋ยอินทรีย์ หรืออินทรีย์ชีวภาพคือจะเป็นตัวช่วยให้จุลินทรีย์ในดินทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ดินมีสภาพดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน แม้แต่ในเรื่องความต้านทานต่อโรคพืชด้วยเช่นกัน

การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพสำหรับยางพาราเพื่อ ใช้เอง http://www.live-rubber.com
/index.php/para-rubber-articles/48-para-rubber-fertilizer/110-producing-organic-fertilizer-for-rubber-plantation


สุดทางก้อที่นี่ http://osl101.ldd.go.th/thaisoils_museum/INDEX.HTM

แถมด้วย 1.ปุ๋ยเร่งดอก เรียก ปุ๋ยไดแอมโมเนียมซัลเฟตสูตร 18-46-0
2.ปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูง เช่น 1:2:1 จะเร่งการเจริญเติบโตของราก และการออกดอก ทำให้ต้นแข็งแรง ทนทานโรค
และแมลง ถ้าขาดจะมีสีม่วงที่ใบและต้น
3.ปุ๋ยที่มีธาตุโพแทสเซียมสูง เช่น 1:3:5 หรือ 5:7:9 เหมาะกับกล้วยไม้ระยะออกดอก ช่วยให้ดอกมีคุณภาพดี สีสดใส
และบานทน

หรือจะอุดหนุนลุงจำลองเพื่อ เอเอสทีวีกัน http://www.astv-tv.com/news1/kwuandin/recipe.php?file=caoutchouc

วิธีการเพิ่มผลผลิตยางพารา

เพิ่มผลผลิตน้ำยางให้เป็น 2.5-4 เท่าต่อเดือนด้วยแก๊สเอทธิลีนนับ เป็นเวลาที่เนิ่นนาน ที่มนุษย์พยายามค้นหาวิธีในการที่จะเพิ่มผลผลิตน้ำยางพาราให้ได้มากกว่าที่ เป็นอยู่ ในที่สุดก็พบว่าในทุกครั้งที่มีการกรีดยางหรือทำให้เปลือกยางได้รับบาดแผลจน น้ำยางไหลออกมา ต้นยางก็จะสร้างฮอร์โมนพืชที่มีชื่อว่า “เอทธิลีน” ขึ้นในบริเวณเปลือกยางโดยเอทธิลีนจะมีผลต่อการไหลของน้ำยาง ในปัจจุบันจึงมีการผลิตแก๊สเอทธิลีน ซึ่งถือเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนพืช มาเป็นตัวการเร่งหรือกระตุ้นให้ได้น้ำยางมากขึ้นกว่าเดิม 3-10 เท่าต่อวัน หรือ 2.5-4 เท่าต่อเดือน

หากจะย้อนเวลาเพื่อดูความพยายามของผู้คนในการจะเพิ่มผลผลิตน้ำยาง ก็พอจะมีบันทึก ไว้บ้าง ดังนี้

* พ.ศ. 2455 Camerun พบว่าส่วนผสมของมูลโคและดินเหนียว ทาใต้รอยกรีด จะช่วยเร่งน้ำยางได้
* พ.ศ. 2494 Tixier พบว่าจุนสี หรือ CuSo4 ที่ฝังในรูที่เจาะไว้ที่โคนยาง 2 รู ทำให้ผลผลิตยางเพิ่มเป็นเวลา 3 เดือน และ G.W. Chapman พบว่า 2,4-D ผสมน้ำมันปาล์มทาใต้รอยกรีดที่ขูดเปลือก ทำให้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มขึ้น ซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงส่วนผสมใหม่ ได้เป็นสารเคมีเร่งน้ำยางสูตรใหม่ ภายใต้ชื่อ Stimulex และผลิตออกขายเป็นระยะเวลานาน
* พ.ศ. 2504 พบว่า เอทธิลีนออกไซด์ ทำให้น้ำยางไหลมากขึ้น
* พ.ศ. 2507 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้ผลิตสารที่ให้เอทธิลีนขึ้นมา ชื่อว่า อีเทฟอน(Ethephon) ซึ่งสามารถเร่งน้ำยางได้
* พ.ศ. 2508 บริษัทยูเนียนคาร์ไบด์ ได้ผลิตสารอีเทฟอน เพื่อเชิงการค้าโดยใช้ชื่อว่า อีเทรล (Ethrel)
* พ.ศ. 2511 Bonner ได้ทดลองใช้พลาสติกหุ้มเหนือรอยกรีด โดยภายในบรรจุด้วยแก๊สเอทธิลีน พบว่า ทำให้มีผลผลิตน้ำยางเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงได้ข้อสรุปว่า สารที่เป็นฮอร์โมนและสามารถปลดปล่อยแก๊สเอทธิลีนได้ สามารถเร่งหรือเพิ่มผลผลิตน้ำยางได้

ผลิตภัณฑ์เร่งน้ำยาง
โดยวิธีธรรมชาติปลอดสารเคมี ต้นไม่โทรมไม่ก่อให้เกิดโรค

น้ำยาทาหน้ายาง
รับเบอร์แม็ก ปุ๋ยเร่งน้ำยาง
ตรานกอินทรีคู่ ปุ๋ยน้ำสำหรับยางพารา
ตรานกอินทรีคู่ สารปรับสภาพดิน
ไฮ-แมกก้า

ในปัจจุบันจึงมีสารเคมีเร่งน้ำยางที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนพืชอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดที่เป็นของเหลวที่มีชื่อว่า อีเทฟอน ซึ่งผลิตจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น อีเทรล, อีเทค, โปรเทรล, ซีฟา และอีเทรลลาเท็กซ์ และชนิดเป็นแก๊ส คือ เอทธิลีน ซึ่งทั้ง 2 ชนิด ล้วนสลายตัวให้ เอทธิลีน แก่ต้นยางเหมือนกัน และถึงแม้จะสลายตัวให้ เอทธิลีนเหมือนกัน แต่พบว่า การใช้ อีเทฟอน จะทำให้ต้นยางเป็นโรคหน้าตายอย่างมากมาย เนื่องจากผู้ใช้มักไม่ใช่เจ้าของสวนยางเอง, ใช้ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำและใช้ระบบกรีดไม่เหมาะสมกับการใช้สารเร่ง) ตรงกันข้ามกับการใช้แก๊สเอทธิลีนที่ไม่ส่งผลดังกล่าว(แต่ต้องใช้ตามอัตราที่ กำหนดเช่นกัน)

การอัดแก๊สเอทธิลีนแบบเลท-ไอ (LET-I)เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมการอัดแก๊สหรือฮอร์โมนเอทธิลีนเข้าไปในเปลือกต้นยางพาราเพื่อ เพิ่มผลผลิตน้ำยางได้ก่อกำเนิดมาจาก ดร.สิวากุมาราน อดีตผู้อำนวยการโครงการวิจัยและพัฒนาของสถาบันวิจัยยางมาเลเซีย ผู้ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการเพิ่มผลผลิตน้ำยาง โดยเฉพาะจากต้นยางพาราที่ปลูกมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ปี ซึ่งมีการกรีดยางไปแล้วทั้ง 2 หน้า และเปลือกงอกใหม่ยังบางหรือหนาไม่ถึง 1 ซม. หากกรีดซ้ำหน้าเดิมก็จะได้น้ำยางน้อย จึงได้คิดค้นเทคโนโลยีการใช้อุปกรณ์ณ์เพื่อให้สามารถอัดฮอร์โมนเอทธิลีน เข้าไปในเปลือกยางพาราได้ ซึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า เทคโนโลยีริมโฟลว์ (กระเปาะพลาสติก)โดยทำการกรีดยางหน้าสูงด้วยรอยกรีดสั้นเพียง 4 นิ้ว ทำให้ได้ผลผลิตน้ำยางมากอย่างน่าอัศจรรย์ เทคโนโลยีนี้ได้เริ่มทดลองใช้ในประเทศมาเลเซียเมื่อ ประมาณ 12 ปีกว่ามาแล้ว และถูกนำมาเข้ามาทดลองใช้ในประเทศไทยโดยศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี นับเป็นเวลา 8 ปี นอกจากนี้ ในปัจจุบันเราจะพบเห็นระบบอุปกรณ์การให้ฮอร์โมนแก่ต้นยางอีกแบบหนึ่ง (กระเปาะเหล็ก)หรือแบบเลท-ไอ (LET-I) ซึ่งเป็นการดัดแปลงระบบริมโฟลว์ของมาเลเซียจนกลายมาเป็นแบบของไทยโดยห้าง หุ้นส่วนจำกัดไอ ที รับเบอร์ (อ.เบตง จ.ยะลา)

ข้อมูลต้นฉบับจาก: http://www.live-rubber.com/index.php/rubber-news-events/27-from-rubber-plantation/227-innovation-increasing-rubber-yield

การตอบสนองของพันธุ์ยางต่อสารเคมีเร่งน้ำยาง
ยางแต่ละพันธุ์ตอบสนองต่อสารเคมีเร่งน้ำยางแตกต่าง กัน ดังนั้นผู้ใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง ควรพิจารณาพันธุ์ยางประกอบด้วย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการใช้สารเคมีเร่งน้ำยางสูงสุด การตอบสนองของพันธุ์ยางต่างๆ เป็นดังนี้ พันธุ์ยาง BPM 1 ตอบสนองสารเคมีเร่งน้ำยางดี พันธุ์ยางสงขลา 36 PB 255 PB 260 PR 255 RRIC 110 RRIM 600 และ GT 1 ตอบสนองสารเคมีเร่งน้ำยางปานกลาง และพันธุ์ยาง BPM 24 PB 235 สถาบันวิจัยยาง 250 และสถาบันวิจัยยาง 251 ตอบสนองสารเคมีเร่งน้ำยางต่ำ
ผลกระทบที่มีต่อต้นยางจากการใช้สาร เคมีเร่งน้ำยาง
1. ปริมาณเนื้อยางแห้งลดลง การใช้สารเคมีเอทธิฟอนทำให้ปริมาณเนื้อยางแห้งลดลงร้อยละ 3-6 การลดลงมากหรือน้อยขึ้นกับชนิด
ของพันธุ์ยางและการใช้สารเคมีบ่อยครั้งมีผลให้ปริมาณเนื้อยางแห้งลดลงมาก ขึ้น
2. การใช้สารเคมีเร่งน้ำยางบ่อยครั้งร่วมกับการใช้ระบบกรีดถี่ เช่น กรีดทุกวัน กรีดสองวันเว้นวัน หรือกรีดสามวันเว้นวัน หน้ายางสูญเสีย
น้ำมากและคุณสมบัติในการทำงานของเซลต่างๆ ในท่อน้ำยางเปลี่ยนไป ทำให้อัตราการเกิดอาการเปลือกแห้งสูงขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรใช้สารเคมีเร่งน้ำยางกัน
ระบบกรีดถี่
3. การใช้สารเคมีเร่งน้ำยางความเข้มข้นสูงทาบ่อยครั้งทำให้เกิดอาการเปลือกแห้ง เพิ่มขึ้น พบว่าการใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง 5 เปอร์เซ็นต์ ทาทุกเดือนและทาทุก 15 วัน หลังจากเปิดกรีดในระยะปีที่ 2 หน้ากรีดเกิดอาการเปลือกแห้งร้อยละ 20-22
ผลกระทบของการใช้แก๊สเอทธิลีนต่อเนื้อ ไม้
การวิเคราะห์สมบัติเชิงกลของไม้ยางแปรรูป จากต้นยางอายุ 14 ปี ที่ใช้ระบบกรีดแบบเจาะร่วมกับการใช้แก๊สเอทธิลีน เปรียบเทียบกับ
การกรีดปกติเป็นเวลา 7 ปี พบว่า สมบัติเชิงกลใกล้เคียงกัน และมีค่าไม่แตกต่างกับค่ามาตรฐานของไม้ยางพารา เช่นเดียวกับการวิเคราะห์สมบัติเชิงกล
ของไม้ยางแปรรูปจากต้นยางอายุ 20 ปี ที่ผ่านการกรีดปกติและการเจาะร่วมกับการใช้แก๊สเอทธิลีนเป็นเวลานาน 4 ปี มีสมบัติเชิงกลใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกจนถึงเนื้อไม้จะทำให้บริเวณที่ถูกเจาะเป็นแผลและมีสีคล้ำ หรือการเกิดเปลือกบวมก็ทำให้เกิดสีคล้ำบนเนื้อไม้
บริเวณดังกล่าวได้ ซึ่งเมื่อเนื้อไม้ใหม่ถูกสร้างขึ้นมาจะปิดทับส่วนที่คล้ำไว้ด้านใน ส่วนการกรีดหน้าสูงกรีดขึ้น หากกรีดบาดเนื้อไม้ก็ทำให้เนื้อไม้มีสีคล้ำ
เช่นเดียวกัน

นายสุขุม วงษ์เอก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การใช้แก๊สเร่งน้ำยางสามารถเพิ่มผลผลิตน้ำยางให้สูงขึ้นกว่าการกรีดปกติ ปัจจุบันดำเนินการหลายระบบอยู่ในหลักการเดียวกัน ต่างกันที่วิธีการและความเข้มข้นของแก๊ส ด้วยวิธีการให้แก๊สโดยตรงกับต้นยางบริเวณเปลือกใกล้รอยกรีดหรือรอยเจาะเพื่อ ให้แก๊สกระจายและซึมสู่เปลือกชั้นในเข้าสู่ท่อน้ำยาง ด้วยคุณสมบัติของแก๊สที่ทำให้น้ำยางไหลผ่านผนังเซลล์ได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มความดันภายในท่อน้ำยาง และชะลอการจับตัวของเม็ดยางในเนื้อยาง น้ำยางแข็งตัวช้า ทำให้ไหลได้นานกว่าปกติ แก๊สที่นำมาเร่งน้ำยางเป็นแก๊สเอทธิลีนความเข้มข้น 68-99% หลักการคือ การปล่อยแก๊สเอทธิลีนทำให้ซึมเข้าสู่เปลือกชั้นในของต้นยาง จากนั้นใช้เข็มเจาะที่ลำต้นหรือกรีดสั้น 3-5 วันต่อครั้ง สามารถเพิ่มผลผลิตสูงกว่าการกรีดปกติและช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานกรีดยาง

อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดังกล่าว มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผลจากการทดลองของสถาบันวิจัยยางโดยใช้แก๊สหลายระบบพบว่า การใช้แก๊สให้ผลผลิตต่อครั้งกรีดสูงกว่าการกรีดปกติร้อยละ 76-118 แต่ผลผลิตต่อปีสูงกว่าเพียงร้อยละ 65-67 ขณะที่รายได้สุทธิสูงกว่าการกรีดปกติเพียงร้อยละ 25 เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าอุปกรณ์ และค่าแก๊สเพิ่งขึ้นเฉลี่ยประมาณ 90 บาทต่อต้นต่อปี ซึ่งรายได้สุทธินี้ใกล้เคียงกับการใช้สารเคมีเร่งน้ำยางชนิดทา (เอทธิฟอน ความเข้มข้น 2.5%) ซึ่งสามารถทำให้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มขึ้นได้เช่นเดียวกัน และวิธีการใช้ไม่ยุ่งยากเท่ากับการใช้แก๊ส ขณะที่การใช้แก๊สต้องระวังไม่ให้แก๊สรั่วเพราะหากแก๊สรั่วจะทำให้ ประสิทธิภาพลดลงหรือไม่เพิ่มผลผลิต ต้องรอเก็บน้ำยางในวันรุ่งขึ้นอาจเกิดปัญหาการขโมยน้ำยางได้ นอกจากนี้การใช้แก๊สจะให้ผลผลิตสูงในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลง และปริมาณเนื้อยางแห้งต่ำกว่าปกติ ต้นยางทรุดโทรม เนื้อไม้มีตำหนิหากเจาะลึกถึงเนื้อไม้ สถาบันวิจัยยางแนะนำว่าการใช้แก๊สเร่งน้ำยางควรใช้เฉพาะพื้นที่ที่มีความ ชื้นในดินสูงและปริมาณน้ำฝนเพียงพอ เช่น พื้นที่ภาคใต้ และ 3 จังหวัดภาคตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี ตราด ไม่ควรใช้ในพื้นที่ปลูกยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เพราะอาจทำให้ต้นยางทรุดโทรม และเกิดอาการเปลือกแห้งมากขึ้น นอกจานี้ การใช้แก๊สแนะนำให้ใช้กับต้นยางก่อนโค่น 3-5 ปี หรือที่มีอายุไม่น้อยกว่า 20 ปี หรือหน้ากรีดล่างที่เปลือกงอกใหม่เสียหาย ไม่สามารถเปิดกรีดได้ และควรใช้กับต้นยางที่สมบูรณ์ ปัจจุบันสถาบันวิจัยยางยังไม่มีข้อมูลยืนยันการใช้แก๊สเร่งน้ำยางกับต้นยาง ที่กรีดใหม่ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการทดลองและเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาผลกระทบในระยะยาว

ดังนั้น การใช้แก๊สเร่งน้ำยาง ผู้ใช้จึงควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและพิจารณาอย่างรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากการใช้แก๊สเอทธิลีนอาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยางและการ ให้ผลผลิตในระยะยาว เฉพาะอย่างยิ่งกับต้นยางที่เปิดกรีดใหม่ เกษตรกรและผู้สนใจสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร โทร.0-2579-1576 หรือศูนย์วิจัยยาง ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิต (สถานีทดลองยาง) และสำนักงานตลาดกลางยางพารา กรมวิชาการเกษตรตามจังหวัดต่างๆ ในวันและเวลาราชการ หรือดูข้อมูลวิชาการถามปัญหาทางหน้าเว็บบอร์ด และติดตามราคายางได้ที่ www.rubberthai.com Call center 1174

นักเรียนทุน JSTP ประจำปี 48 โชว์ “เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้า” ผลงานที่ใช้ได้จริง จากการสังเกตสิ่งรอบตัวมาสร้างเครื่องใช้ไม้สอย กรีดยางได้ 10 ไร่ต่อชั่วโมง ประหยัดทั้งเวลา แรงงาน และยืดอายุต้นยาง ด้วยเงินลงทุนเพียง 3,000 บาท เตรียมพัฒนาต่อให้ได้น้ำยางมากขึ้น

ครอบครัวที่เข้าใจและพร้อมสนับสนุนบุตรหลานของตน ให้พัฒนาตนเองและกล้าแสดงความสามารถออกมาเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน ย่อมถือได้ว่า เป็นครอบครัวที่เข้มแข็งและอบอุ่นที่สุดครอบครัวหนึ่ง เนื่องจากครอบครัวเปรียบได้กับเสาหลักที่ค้ำจุนร่างกายและจิตใจของสมาชิกผู้ อยู่อาศัยทุกคน โดยเฉพาะกับบุตรหลานของพวกเขาเอง ซึ่งเมื่อเสาหลักค้ำจุนมีความหนักแน่นมั่นคงแล้ว การต่อเติมบ้านก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเลย

นายปรัชญกร เฉลิมพงศ์ หรือ “น้องหนึ่ง” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ผู้ได้รับทุนการศึกษาถึงระดับด็อกเตอร์จากโครงการพัฒนา อัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก็เป็นหนึ่งในผู้โชคดี เหล่านั้น ที่ได้อาศัยอยู่ในครอบครัวที่เข้มแข็งและอบอุ่นเสมอมา

ด้วยความรักความเข้าใจของคุณพ่อคุณแม่คือ นายโกวิท และนางกรกมล เฉลิมพงศ์ ทำให้น้องหนึ่งสามารถผลิตผลงานประดิษฐ์ที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง และสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของท้องถิ่นที่น้องหนึ่งอาศัยอยู่คือ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งที่ผู้คนประกอบอาชีพทำสวนยางสร้างรายได้เป็นหลัก

น้องหนึ่ง เผยว่า ขณะที่เขายังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 ร.ร.สุราษฎร์พิทยา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่รับราชการครูอยู่นั้น เขา ได้สังเกตเห็นว่า ในการทำสวนยางจะมีกรรมวิธีการกรีดยาง เพื่อเอาน้ำยางที่ยุ่งยากพอสมควร หากไม่มีความความรู้ความชำนาญในการกรีดยางมากพอแล้ว ก็ต้องใช้เวลานาน ได้น้ำยางน้อย และทำให้ต้นยางมีอายุการให้น้ำยางสั้นลง

ด้วยเหตุนี้เอง น้องหนึ่งจึงคิดประดิษฐ์ “เครื่องกรีด ยางพาราไฟฟ้า” ขึ้นมา ภายใต้การดูแลของ ผศ.ดร.สุรินทร์ กิตติธรกุล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ซึ่งน้องหนึ่ง แจกแจงว่า เขาใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี และลงแรงสร้างอีก 1 เดือนจึงแล้วเสร็จ ด้วยการลองผิดลองถูก และใช้เงินลงทุนไปประมาณ 3,000 บาท โดยได้จดสิทธิบัตรแล้วเมื่อ 2- 3 เดือนก่อนหน้านี้

ด้านกลไกการทำงาน น้องหนึ่งชี้แจงว่า เป็นกลไกที่ไม่ซับซ้อนนัก ประกอบด้วย ชุดมอเตอร์พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ และใช้หลักการเคลื่อนที่ในแนวโน้มถ่วงเพื่อสร้างเครื่องกรีดน้ำยางไฟฟ้าขึ้น มา ไม่มีหลักการอะไรที่ซับซ้อนมาก โดยมันจะทำงานได้นานประมาณ 6 ชั่วโมงต่อแบตเตอรี่ 1 ก้อน

สำหรับผลการนำเครื่องกรีดน้ำยางพาราไฟฟ้าไปใช้งานจริง พบว่า สามารถกรีดน้ำยางจากต้นยางได้เฉลี่ย 700 ต้น/ชม. หรือประมาณ 10 ไร่/ชม. เปรียบเทียบกับใช้แรงงานคน ซึ่งกรีดได้เพียง 200-300 ต้น/ชม. ตาม ความชำนาญ ทำให้เมื่อนำไปทดลองใช้กับต้นยางของเพื่อนบ้านแล้วก็ได้ รับเสียงตอบรับอย่างดี

“เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่ตามแนวกรีดที่เราต้องการและกลับไป ยังจุดเริ่มต้นได้อย่างดีในเวลาต้นละ 5-7 วินาที จาก ปกติที่ใช้แรงงานคนกรีดต้นละ 5-10 นาที เมื่อเทียบกันแล้ว เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้าจึงทำงานได้รวดเร็วและประหยัดแรงงานกว่า” น้องหนึ่งกล่าวและว่า นอกจากนี้ ด้วยเครื่องมือดังกล่าว ยังเป็นการยืดอายุต้นยางไปในตัว เพราะกรีดยางอย่างรวดเร็ว กรีดหน้ายางได้สม่ำเสมอ ขจัดปัญหาด้านความชำนาญของผู้กรีดยางให้หมดไป และไม่ทำให้หน้ายางเสีย จึงได้น้ำยางมาก

ทั้งนี้ จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้า คือ สามารถติดตั้งใช้กับต้นยางได้สะดวก ด้วยการตอกตะปู 2 ตัวไว้ที่ต้นยาง เว้นระยะห่างในแนวดิ่งประมาณ ¾ ฟุต เพื่อติดตั้งเครื่องกรีดน้ำยาง นอก จากนี้ น้องหนึ่งยังได้คิดวิธีกรีดยางให้สะดวกขึ้นไปอีก ด้วยการใส่เกลียวเหล็กที่มีความยาวเดียวกับระยะห่างของตะปูทั้ง 2 ตัว เพื่อให้การกรีดยางครั้งต่อไปจะไม่กรีดซ้ำรอยเดิมอีก อันจะทำให้ต้นยางมีอายุการให้น้ำยางสั้นลง

“เกลียวเหล็กจะเป็นตัวบอกตำแหน่งที่เราจะใช้กรีดยางในวันถัดไป ซึ่งเมื่อเรากรีดยางวันนี้เสร็จแล้ว วันต่อมา เราก็ปรับเกลียวให้ลงมา 1 รอบตามจุดเครื่องหมายที่อยู่ด้านบน เพื่อกรีดยางในตำแหน่งใหม่ โดยที่เกลียวเหล็กจะมีรอบเกลียวเท่ากับ 365 รอบเท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี” น้องหนึ่งอธิบาย

ด้านข้อจำกัด น้องหนึ่ง พบว่า มอเตอร์ยังมีกำลังไม่มากพอ จึงต้องกรีดหน้ายางก่อน เครื่องถึงทำงานได้ดี ในส่วนปริมาณน้ำยางจากการใช้เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้านั้น ยังไม่เคยทดลองวัดปริมาณดู แต่ต่อไปจะลองพัฒนาให้เครื่องสามารถพ่น สารเร่งน้ำยางไปพร้อมๆ กับกรีดยาง ทำให้ได้น้ำยางมากขึ้น ขณะที่เกิดแผลจากการกรีดยางสั้นลง ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่จะลองพัฒนาต่อไปเนื่องจากทราบว่า ในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปลูกยางมากขึ้น และคิดว่ายังมีคนที่ชำนาญในการกรีดยางอยู่ไม่มาก เครื่องกรีดยางพาราไฟฟ้าน่าจะเข้าไปช่วยได้

จากนั้นเมื่อกล่าวถึง การนำผลงานไปจัดแสดง น้องหนึ่ง กล่าวว่า เคย นำผลงานไปจัดแสดงในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาครั้ง หนึ่งแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจและได้รับเสียงตอบรับดีมาก สำหรับ การจัดแสดงครั้งต่อไป น้องหนึ่งเผยว่า ขณะนี้ได้ส่งผลงานไปร่วม ประกวดในโครงการ “คนเก่งไทยแกร่ง” ของกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น และสามารถผ่านรอบ 26 คนสุดท้ายมาได้

ด้านนายโกวิท และนางกรกมล คุณพ่อคุณแม่ของน้องหนึ่ง กล่าวถึงบุตรชายที่ได้รับทุนการศึกษาจากสวทช. ว่า เป็นลูกคนเดียว นิสัยเรียบร้อย ขี้อาย อยู่ติดบ้าน ไม่ชอบไปเที่ยว ชอบเรื่องเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก และสนใจเรียนต่อในด้านนี้อย่างมุ่งมั่น เวลาว่างจะใช้เวลาอยู่ในห้องเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

“ที่ผ่านมา ครอบครัวให้การสนับสนุนในทุกด้านเท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่ทำให้กระทบกับงานสอน สำหรับฐานะของครอบครัวก็ถือว่ามีฐานะปานกลาง ไม่ร่ำรวยเพราะต่างก็รับราชการทั้งคู่” คุณแม่ของน้องหนึ่งกล่าว และว่า แต่ก่อนน้องหนึ่งเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของเขตและเล่นขิมด้วย

น้ำยางไม่ออก ยางหน้าตาย
วิธีแก้ปัญหาน้ำยางไม่ไหลใน ยางพาราที่ให้ผลผลิตแล้ว


น้ำยางไม่ ไหลหรือไหลกระปริดกระปรอยน้อยกว่าเดิมจากที่เคยผลิตได้ในแต่ละครั้ง เนื่องจากต้นยางพาราติดเชื้อโรคหรือที่เรียกกันว่ายางพาราเป็นโรคและโรคที่ ว่านี้เกิดจากการเข้าลายของเชื้อรา เบื้องต้นจะมีอาการใบจุดสีเหลืองมีจุดสีน้ำตาลอยู่กึ่งกลางและค่อยๆขยายวง กว้างออกไปเรื่อยๆเหมือนใบไหม้ นอกจากนี้ยังมีเพลี้ยแป้งเป็นพาหะในการแพร่กระจายของเชื้อราดังกล่าว

สำหรับ เกษตรกรที่พบเจออาการดังกล่าว อย่าเพิ่งตกใจให้ท่านใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 21 – 0 – 0 หรือปุ๋ยคอกที่มีไนโตรเจนสูง เช่น มูลไก่ มูลเพาะ มูลโค เป็นต้น ร่วมกับภูไมท์ซัลเฟตและซิลโคเทรซ ในอัตรา 250 กก. 100 กก. และ ตามลำดับ แต่หากเป็นมูลสัตว์ให้ใช้ประมาณ 2 เท่าของปุ๋ยเคมีคือ 500 กก.คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วหว่านรอบโคนต้นๆละ 1 กก. โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 กำมือช่วงต้นฝนและปลายฝน
คำแนะนำ : ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มควรมีการตรวจเช็คสภาพดิน (pH ดิน) ซึ่งค่า pH ดินที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 5.8 – 6.3 ซึ่งเป็นค่าที่ธาตุอาหารพืชสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารได้เหมาะสมครบถ้วนและให้ ประโยชน์แก่พืชได้มากที่สุด แต่ถ้าเกษตรท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับ pH ดิน เช่น

การกรีดยาง http://www.rakbankerd.com/agriculture/open.php?id=198&s=tblplant

การกรีดยาง

การกรีดยางต้องยึดหลักที่ว่า เมื่อกรีดแล้วจะต้องได้น้ำยางมากที่สุด เปลือกเสียหายน้อยที่สุด กรีดได้นาน 25-30 ปี และประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด

ขนาดของต้นยางที่เปิดกรีดได้
1. ขนาดของต้นยางที่พร้อมเปิดกรีดต้องมีเส้นรอบต้นไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร วัดที่ความสูงจากพื้นดิน 150 เซนติเมตร
2. เปิดกรีดครั้งแรกเมื่อมีจำนวนต้นยางที่พร้อมเปิดกรีดในสวนเกินกว่าครึ่ง หนึ่ง ของต้นยาง ทั้งหมดในสวน
3. ต้นยางติดตา สามารถเปิดกรีดครั้งแรกได้ที่ระดับความสูงจากพื้นดิน 50, 75, 100, 125, หรือ 150 เซนติเมตรระดับใดระดับหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าเปิดกรีดต่ำจะได้รับผลผลิตมากกว่า



วิธีติดรางและ ถ้วยรับน้ำยาง

เวลาที่เหมาะสมในการกรีดยาง
ควรจะเริ่มกรีดยางตั้งแต่ตอนเช้า ประมาณ 06.00-08.00 น. เพราะจะทำให้ปฏิบัติงานได้สะดวก เนื่องจากมองเห็นชัดเจนกว่ากลางคืนและผลผลิตที่ได้ใกล้เคียงกับการ กรีดในตอนกลางคืน

ขนาดของ งานกรีดยาง
คนกรีดยาง 1 คน จะสามารถกรีดยางในสวนยางที่ปลูกในพื้นที่ราบ ตามระบบครึ่งลำต้นวันเว้นวัน
ได้ประมาณ 400-450 ต้นต่อวัน

วิธีการกรีดยาง
ควรกรีดยางโดยใช้วิธีกระตุกข้อมือหรือการซอย พร้อมกับย่อตัวและสลับเท้าไปตามรอยกรีด ของต้นยาง อย่ากรีดโดยวิธีใช้ท่อนแขนลากหรือกระชากเป็นอันขาด การกรีดโดยวิธีกระตุกข้อมือจะทำให้กรีดได้เร็ว ควบคุมการกรีดง่าย กรีดเปลือกได้บาง แม้จะกรีดบาดเนื้อไม้ก็จะบาดเป็นแผลเล็กๆเท่านั้น

ระบบการ กรีดยาง
เนื่องจากในระยะ 2-3 ปีแรกของการกรีด ต้นยางยังอยู่ในระยะการเจริญเติบโตค่อนข้างสูง การกรีดยาง มากเกินไปจะทำให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นจึงควรกรีดยางในระบบครึ่งต้นวันเว้นวัน โดยหยุดกรีดในช่วงผลัดใบและไม่มีการกรีดชดเชยเพื่อ ทดแทน วันที่ฝนตกจนกระทั่งปีที่ 4 ของการกรีดเป็นต้นไป จึงสามารถกรีดชดเชยได้ระบบกรีดครึ่งลำต้นวันเว้นวันนี้ใช้ได้กับยาง เกือบทุกพันธุ์ ยกเว้นบางพันธุ์ที่เป็นโรคเปลือกแห้งได้ง่ายเท่านั้นที่ควรใช้ระบบกรีดครึ่ง ลำต้น วันเว้นสองวัน

ข้อควร ปฏิบัติในการกรีดยาง
1. ควรกรีดยางตอนเช้าหลังจากที่มีแสงสว่างแล้ว
2. กรีดยางเฉพาะต้นที่ได้ขนาดแล้ว
3. รอยกรีดจะต้องเริ่มจากซ้ายบนมาขวาล่าง เอียงประมาณ 30 องศากับแนวระดับ
4. อย่ากรีดเปลือกหนา เพราะจะทำให้เปลือกงอกใหม่เสียหาย
5. อย่ากรีดเปลือกหนา ภายใน 1 เดือน ไม่ควรกรีดให้เปลืองเปลือกเกิน 2.5 เซนติเมตร หรือภายใน 1 ปี ไม่ควรกรีดให้เปลืองเปลือกเกิน 25 เซนติเมตร
6. หยุดกรีดเมื่อยางผลัดใบหรือเป็นโรคหน้ายาง
7. มีดกรีดยางต้องคมอยู่เสมอ
8. การเปิดกรีดยางหน้าที่สองและหน้าต่อไปให้เปิดกรีดที่ระดับความสูงจากพื้นดิน 150 เซนติเมตร

การกรีดยางหน้าสูง
การกรีดยางหน้าสูง หมายถึง การกรีดยางหน้าบนเหนือหน้ากรีด ปกติซึ่งเป็นส่วน ที่ไม่เคยกรีดยางมาก่อน ต้นยางที่เหมาะสมที่จะทำการกรีดยางหน้าสูงคือ ต้นยางก่อนโค่นซึ่งมีอายุมาก หรือหน้ากรีดปกติเสียหาย
โดยทั่วไปการกรีดยางหน้าสูงจะต้องใช้สารเคมีเร่งน้ำยาควบคู่กันไปด้วย เพื่อต้องการให้ได้รับยาง มากที่สุดก่อนที่จะโค่นยางเก่าเพื่อปลูกแทน 2-4 ปี โดยใช้สารเคมีเร่งน้ำยางอีเทรล 2.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเร่ง
แล้วคุณจะรู้จักต้นยางมากขึ้นด้วย http://www.rubber.co.th/knowledge_1b.html

สุดท้ายก่อนจะไปนอนดูนี่น่ะ


ราตรีสวัสดิ

Planet XหรือNibiru











ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk
http://www.planetxvideo.com/














โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System
ระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?
ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า
ในปี 1841 John Couch Adams สนใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราะห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน
เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?
ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก
เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)
ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย
นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา
น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก
หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น
ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน
Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"
แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย



จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง
จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ

ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?

ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่
คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ



อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย
การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา

โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!!

....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน

แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก



ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย
ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)

Planet X และพระผู้สร้าง

เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ




Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์

ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย
ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง

มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า

หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?
ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?



ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาผมจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากครับแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมีครับ



วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ

The Planet X

ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru
Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?
หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป
ขอฝอยเรื่องของ Sitchin สักหน่อยนะครับ จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ
Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน
จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว

ทำไมจึงเป็น 12th Planet?

หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์ เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่
เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยายระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร



มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง
จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้ ที่แน่ๆก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน อ้อ... สำหรับท่านที่สงสัยว่า ทำไมคนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวหางสีแดง เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังนะครับ ตอนนี้พูดเรื่องวงโคจรให้จบเสียก่อน
Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเองนะครับ) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว

Why the Anunnaki Came Down?

ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน
ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)
Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา



ภาพวาดพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้

ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ
แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ
เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ



Exodus and the 12 Planet

จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง เรื่องของเอ็กซ์โซดัสนี้นายโซนิคคงไม่ต้องกล่าวมากความแล้วนะครับ เพราะเคยเล่าไปหลายครั้งมากเลย ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกันนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สีแดง (บอกแล้วนะครับ รายละเอียดของภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งเรื่องของโมเสสนั้นให้ไปอ่านกันเพิ่มเติมที่นี่) ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้) เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์ไงครับ
ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่าง ดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน



มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?

เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ
แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบนายโซนิคที



ถ้าอย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับ อย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหาก เล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก
หลักฐานอะไรเรอะ? ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมี วิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง ของมนุษยชาติเลยทีเดียว
หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์

Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.

ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA




ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??

แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก
ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่



From a far away land they came, from the end-point of Heaven do the Lord and his weapons of wrath come to destroy the whole Earth. Therefore will I agitate the Heaven and Earth shall be shaken out of its place. When the Lord of Hosts shall be crossing, the day of his burning wrath.
เนื่องจากมันเป็นดาวฤกษ์ ซึ่งถ้ามันโคจรเข้าใกล้ๆวงโคจรของระบบสุริยะนี้ ก็สร้างความปั่นป่วนได้แล้ว และวิถีโคจรของมันโดยองค์กรนาซ่าบอกว่า...จะโคจรเข้า มาใกล้มากๆและมันจะโคจรเข้าเป็นเส้นตรงพอดีในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (ช่วงจบกึ่งกลางพุทธกาลพอดี) ก็คือ ดวงอาทิตย์ โลก และนิบิรุ อยู่ในระนาบเดียวกันพอดี วันนั้นจะเป็นวันวิบัติซึ่งจะมีผลดังนี้

1.สร้างความปั่นป่วนให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
2.น้ำจะขึ้นสูงมากๆจนเกิดวิกฤติการณ์ที่เรียกว่า น้ำท่วมโลกหรือซุปเปอร์ซึนามิ
3.แผ่นดินไหวและภูเขาไฟไปทั่วโลก
4.ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
5.การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
6.ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให ้อ่อนอย่างมาก
7.สนาม แม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
8.กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใ กล้โลกได้ง่ายขึ้น
9.แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (มนุษย์น่าจะกระโดดได้สูงขึ้นกว่าเดิม)

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do