วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จิตอันสมบูรณ์



เมื่อแก่นสารของพุทธศาสนาคือทำให้จิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นระดับ ที่เกิดปรากฏการณ์ผลาญกิเลสเป็นมรรคเป็นผล กับทั้งอุบายเฉพาะอันจะทำให้มรรคผลเกิดกับแต่ละบุคคลก็มีอยู่ เราจึงควรพิจารณาอย่างดีว่าตรงไหนที่เหมือน ตรงไหนที่ต่าง ตรองแล้วจะพบว่าแม้รูปแบบแตกต่างกันภายนอก แต่ภายในนั้นก็คืออาการที่จิตสลัดหลุดจากอุปาทานว่าโน่นคือตัวนี่คือตน เหมือนๆกันนั่นเอง


ภาพของจิตที่เข้าถึงแก่นของพระศาสนา ความเข้าใจความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผลอันเกิดจากทางดำเนินเข้ามรรคเข้าผลเป็นข้อๆ คือทาน ศีล สมาธิ และปัญญา

อนุมานสภาพจิตอันสมบูรณ์แบบ

แง่มุมแรก จิตนั้นควรมีความเปิดกว้าง ไม่ปิดแคบ ไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องด้วยพิษความเห็นแก่ตัว นอกจากเปิดกว้างแล้วควรมีคุณสมบัติคู่ขนานกัน คือความเยือกเย็นไม่รุ่มร้อนจากการผูกเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาทจองเวร อันนี้เข้าข่ายของความมีกระแสจิตไหลไปทางเดียวกับกระแสของทาน เรียกว่าทรัพยทานบ้าง อภัยทานบ้าง ธรรมทานบ้าง เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นทานจิตอยู่โดยปกติ

แง่มุมที่สอง จิตนั้นควรมีความสะอาดผ่องใส ไม่สกปรกรุงรังด้วยความคิดอันเป็นอกุศลประการต่างๆ ไม่มีความอยากทำร้ายใคร อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากฆ่า ไม่มีความโลภอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสมบัติ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักขโมย ไม่มีความอยากในกามหลงเหลือ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักลอบเป็นชู้ ไม่มีความอยากพูดอย่างไร้ประโยชน์ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากโป้ปดมดเท็จ ไม่มีความอยากบริโภคเกินจำเป็น อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากกินเหล้าเมายา เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นศีลจิตอยู่โดยปกติ

แง่มุมที่สาม จิตนั้นควรมีความตั้งมั่น นิ่มนวล ไม่ซัดส่าย ไม่แข็งกระด้าง เพราะจิตขาดจากเหตุแห่งความเคลื่อน อันได้แก่กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดเสียแล้ว จิตจึงจับอยู่เฉพาะสภาวะที่รู้ได้ในปัจจุบัน หรือแม้จะต้องคิด ก็ไม่ติด ไม่หลงเตลิดไปเอาเงาในอดีตหรือภาพลวงในอนาคตมารบกวนคุณภาพจิตได้อีก

แง่มุมสุดท้าย จิตนั้นควรมีสติสมบูรณ์ เบิกบาน เป็นอิสระเต็มที่ เพราะรู้เองโดยไม่ต้องพิจารณา รู้เองโดยไม่ต้องระวังจะหลงไปว่ามีสภาวะใดสภาวะหนึ่งเป็นตัวเป็นตน เป็นที่น่าคาดหวัง เป็นที่น่าพิศวาส แม้กระทั่งความหมายรู้หมายจำ ความรู้สึกนึกคิดและตัวของจิตเอง ยังแจ่มแจ้งแทงตลอดว่าเป็นอนัตตา จะยังมีภาวะใดให้ยึดมั่นถือมั่นได้อีก

http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=27.0 นี่คือที่มาทั่งหมดที่นำมาไว้

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โอวาทปาฏิโมกข์


วันมาฆะปุรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า 1,250 รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ 4 ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต(อ่านว่า จาตุรงคะ-) แปลว่า การประชุมพร้อมกันแห่งองค์สี่)ประกอบด้วย

1# พระอรหันต์สาวก 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

2พระอรหันต์สาวกหรือพระสงฆ์ทั้ง 1,250 รูปนี้ล้วนเป็นล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง ทั้งสิ้น เรียกว่าวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

3พระอรหันต์สาวกทั้ง 1,250 รูปนี้ ต่างได้มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

4วันที่พระสงฆ์ 1,250 รูปมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายนี้ ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันเพ็ญกลางเดือนสาม) ซึ่งในโอกาสนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอีกด้วย

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาฏิโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบการสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก 1,250 รูปนั้น

โอวาทปาฏิโมกข์ หมายถึงหลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกันและ แก้ปัญหา ต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอนอันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา

หลักธรรมประกอบด้วย

หลักการ 3
อุดมการณ์ 4
วิธีการ 6 ดังนี้

หลักการ 3

1.การไม่ทำบาป ทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็นความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม

2.การทำกุศลให้ ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดี ทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ 10 เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี 10 อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
การทำความดีทาง กาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียน ผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
การทำความดีทาง วาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวาน พูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละการไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิด เมตตาและปรารถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามทำนองคลอง ธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

3.การทำจิตให้ ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนิวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี 5 ประการ ได้แก่
1.ความ พอใจในกาม (กามฉันทะ)
2.ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
3.ความหดหู่ ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
4.ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
5.ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดี ความชั่วว่ามีผลจริงหรือไม่

วิธีการทำจิต ให้ผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวงด้วยการถือศีลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา จะเกิดเป็นความผ่องใสที่แท้จริง

อุดมการณ์ 4

1.ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกายวาจา ใจ
2.ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้ายรบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
3.ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
4.นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตาม

วิธี การ 6

1.ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
2.ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
3.สำรวมใน ปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎ กติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
4.รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหาร หรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
5.อยู่ในสถานที่ ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
6.ฝึกหัดจิตใจให้ สงบ ได้แก่ ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพ คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี

การฟอกเงิน ‘สมุย’ สวรรค์ของ ‘นักฟอกเงิน’



ตามหลักการสากล ว่าด้วยการต่อต้านการฟอกเงิน ซึ่งได้มีการจัดแบ่งกลุ่มแหล่งที่มาของเงินที่จะต้องนำไปผ่านกระบวนการฟอก เงินออกเป็น 10 แหล่ง ประกอบด้วย
1.การค้ายาเสพติด
2.การทุจริตจากวงการเมือง
3.การฉ้อโกงประชาชน
4.การรับสินบนของข้าราชการ
5.การโกงทางด้านบัญชีของบริษัท
6.เงินส่วนตัวที่ต้องการปกปิด
7.เงินที่มีการหลบเลี่ยงภาษีของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีใจบาป
8.เงินที่ได้จากการยักยอกงบประมาณของรัฐบาล
9.เงินนอกระบบที่ได้จากธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ และ
10.เงินจากบ่อนการพนัน

ด้วยเกี่ยวข้องบ้างเมื่อคนที่บ้านเป็นคนเกาะสมุยกะเค้าเหมือนกัน ทั่งหมดจาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000077929

่ลองอ่านประกอบของ http://www.oknation.net/blog/samuitoday

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยุบพรรค?????เพื่อไทย

คุณนิติธร ล้ำเหลือ ยื่นขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยด้วยเรื่องสนับสนุนการชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ไม่ กระทำตามรัฐธรรมนูญ

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองตั้งแต่การจัดตั้งพรรคการเมือง การดำเนินกิจการทางการเมือง และการยุบเลิกพรรคการเมือง ในบทความนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับการยุบเลิกพรรคการเมือง ซึ่งมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องหลายมาตรา
สำหรับการยุบพรรคการเมือง ได้กำหนดให้พรรคการเมืองที่ดำเนินการทางการเมืองสามารถเลิกหรือยุบพรรคการ เมืองได้ หากไม่ดำเนินการตามที่ พรบ.พรรคการเมืองกำหนด ซึ่งแบ่งการเลิกหรือยุบพรรคออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

ลักษณะแรก (มาตรา65) พรรคการเมืองมีเหตุต้องเลิกหรือยุบพรรคการเมือง เนื่องจากไม่กระทำตามพรบ.พรรคการเมือง เช่น

1. ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับพรรคการเมือง
2. มีสมาชิกพรรคเหลือไม่ถึง 15 คน
3. ไม่สามารถจัดหาสมาชิกพรรคได้ถึง 5,000 คนภายใน 180 วันหลังจากที่นายทะเบียนรับจดแจ้งพรรคการเมือง
4. ไม่มีดำเนินกิจการทางการเมืองและไม่ส่งรายงานการดำเนินงานกิจการของพรรคการ เมือง
5. ไม่ส่งรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมือง

นาย ทะเบียนพรรคการเมือง (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันพบเหตุดังกล่าว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวจริง จะมีคำสั่งให้ยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญและนายทะเบียนต้องประกาศคำสั่งยุบพรรค ลงในราชกิจจานุเบกษา

ลักษณะที่สอง (มาตรา 66) พรรคการเมืองอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองได้เมื่อพรรคการ เมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

1. กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ
2. กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
3. กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
4. ในกรณีที่พรรคการเมืองรับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดเข้าเป็นสมาชิก หรือยอมให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง และในกรณีที่พรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองได้รับเงิน ทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อกระทำการสนับสนุนการบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบัน ชาติ พระมหากษัตริย์ หรือก่อกวน คุกคามทำให้เกิดความไม่สงบหรือมีผลต่อประชาชนทั้งทางด้านศีลธรรม สุขภาพและทรัพยากรของประเทศ หรือมีการรับเงินสนับสนุนจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีผู้จัดการ หรือกรรมการเป็นผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละยี่สิบห้า และรวมไปถึงนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายต่างประเทศ

แมงมุมสีขาวhttp://www.norsorpor.com/go2.php?t=m&u=http%3A%2F%2Fwww.oknation.net%2Fblog%2Fmaleerat%2F2010%2F06%2F03%2Fentry-1

แวะไปเยี่ยมเยือนพี่ท่านได้ที่ http://www.oknation.net/blog/kridthakunครับพี่น้องเอ้ยยยยยยยยยยย

โหงวเฮ้ง(นรลักษณ์ศาสตร์)



โหงวเฮ้ง


โหวงเฮ้งหรือในภาษาไทยที่เรียกว่านรลักษณ์ศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการดูลักษณะของบุคคลทั่ว ๆ ไปทุกชนชั้น ทุกวรรณะ โหวงเฮ้งดี ไม่ได้แปลว่าสวยหรือหล่อ ภาษาไทยเรียกวิชานี้ว่า “นรลักษณ์ศาสตร์”ภาษาจีนเรียกว่า “โหงวเฮ้ง” แปลว่า การพิจารณาดูจากลักษณะทั้งห้าประการ ซึ่งได้แก่

1.อวัยวะทั้งห้า ได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปาก

2.ภูเขาทั้งห้า ได้แก่ หน้าผาก จมูก โหนกแก้มซ้าย โหนกแก้มขวา ปลายคาง

3.ห้าสั้น ห้ายาว ได้แก่ ใบหน้า เรือนร่าง ศีรษะ แขน ขา

4.ธาตุทั้งห้า ได้แก่ ธาตุทอง ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน


การแบ่งส่วนของใบหน้าเพื่ออ่านช่วงของแต่ละวัย



1.วัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี ดูที่ใบหู เพศหญิงและเพศชาย กรนับอายุไม่เหมือนกัน หญิงเริ่มนับจากใบหูด้านขวา ชายเริ่มนับจากใบหูด้านซ้าย

2.วัยเยาว์คือ วัยหนุ่มสาว นับตั้งแต่อายุ 15 ปี ถึงอายุ 30 ปี อยู่ในช่วงที่ 1 ของใบหน้า วัดจากส่วนบนสุด ของใบหน้าก็คือ เชิงผมจรดกึ่งกลางคิ้ว

3.วัยกลางคน นับตั้งแต่อายุ 31 ปี ถึงอายุ 50 ปี อยู่ในช่วงที่ 2 ของใบหน้า วัดจากกึ่งกลางคิ้วถึงสุดฐานปลายจมูก

4.วัยอาวุโส (วัยชรา) นับตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป อยู่ในช่วงที่ 3 องใบหน้า วัดจากฐานปลายจมูกไปจนถึงสุดปลายคาง

โหงวเฮ้ง แปลว่าการพิจารณาดูลักษณะทั้งห้าประการซึ่งได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปากและส่วนประกอบจากในหน้า รูปร่าง อริยาบทต่าง ๆเช่นการเดิน ยืน นั่ง ลุก นอน การพูด การฟังน้ำเสียงจากการพูดทางโทรศัพท์ การรับประทานอาหาร การดูจากราศี บุคลิกลักษณะทั่งหมดที่มี


สังคมปัจจุบันผู้คนมาจากหลายพ่อพันแม่ ความคิดอุปนิสัยย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดาที่คนเราเมื่อพบกันครั้งแรกก็มัก ต้องทำดีต่อกัน ส่วนมากจะพูดแต่ข้อดีของตนเอง ข้อเสียจะไม่กล่าวถึงอยู่แล้ว การประทินโฉมด้วยการเมคอัพใบหน้า สวมเสื้อผ้าดี ๆ ประดับด้วยเครื่องเพชรทองราคาสูงลิบลิ่ว เพื่อเพิ่มบุคลิกให้ดูดีให้ดูดี และอำพรางส่วนที่ด้อยของตนเอง แต่แท้ที่จริงแล้วรูปร่างหน้าตาลักษณะที่มีมาแต่กำเนิดไม่สามารถอำพรางได้ เรารู้จักเขาเพียงได้พบเห็นหน้า ได้ฟังเสียง เห็นบุคลิกลักษณะ ก็สามารถคาดคะเนในใจได้แล้วว่า บุรุษหรือสตรีที่เราพบเห็นนั้นเป็นคนอย่างไร น่าคบหา หรือสมควรระวังตัว ให้เป็นข้อสังเกตุบุคคลที่อยู่รายรอบ

ข้อมูลในเน็ตเยอะมาก ลองดูที่นี่กัน

http://astrology.thaiorc.com/ngovheng.php

http://rahu.moohin.com/phommachat/phommachath022c002.shtml

http://www.kohchang2.com/kue.html

อีกอันนึงของผู้หญิงล้วนๆเลย http://www.tlcthai.com/webboard/list_topic.php?cate_id=74&table_id=1

คฑา ชินบัญชร นักพยากรณ์ไพ่ยิปซีและฮวงจุ้ย ให้ความเห็นถึงศาสตร์การแต่งหน้าตามโหงวเฮ้งว่า มีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณที่มีการนำเปลือกไม้สีสันต่าง ๆ มาแต่งเติมหน้าตาของผู้หญิงเพื่อให้เกิดความสวยงาม ด้านผู้ชายก็นำเปลือกไม้สีสันต่าง ๆ มาแต่งเติมใบหน้าให้ดูน่าเกรงขามเมื่อออกรบเพื่อข่มขวัญศัตรู

วัฒนธรรมการแต่งหน้าแผ่ขยายสู่เอเชียผ่านประเทศจีน จึงเกิดแนวคิดนำศาสตร์โหงวเฮ้งมาผสมผสานกับการแต่งหน้า ซึ่งโหงวเฮ้งบนใบหน้าประกอบด้วย 2 หลักใหญ่ คือ 1.อวัยวะทั้ง 5 บนใบหน้าประกอบด้วย คิ้ว ตา จมูก ปาก หู 2.เนินทั้ง 5 บนใบหน้าคือ เนินแก้มซ้าย แก้มขวา เนินคาง เนินจมูก เนินหน้าผาก

ราศีมังกร (14 ม.ค. - 13 ก.พ.) ธาตุ ดิน เป็นคนใบหน้าออกไปทางยาวรูปไข่ คิ้วเรียว ริมฝีปากสวยอิ่ม ควรใช้สีสันของธาตุไฟเสริมราศี ดวงตาใช้สีส้ม น้ำตาล น้ำตาลทองแลดูมีพลัง โหนกแก้มปัดด้วยสีโทนชมพู ส้ม อิฐ สีโอลด์โรสเพิ่มเสน่ห์ด้วยรอยยิ้มสีกุหลาบ หรือส้มโอลด์โรส ชมพูเหลือบม่วง ด้านคิ้วหมายถึง อำนาจบารมี วาดให้หัวคิ้วเรียวตามธรรมชาติถึงหางคิ้ว ใช้สีน้ำตาลเข้มปัดคิ้ว อย่าพยายามใส่แว่นปิดดวงตาแต่ควรเน้นให้ตาโตเพื่อเสริมพลังอำนาจ

ราศีกุมภ์ (14 ก.พ. - 13 มี.ค.) ธาตุลม ใบหน้ามนแต่มีโหนกแก้ม ควรเน้นที่ริมฝีปากด้วยสีสว่างสดใสแดงอมชมพู หรือชมพูเหลือบม่วง และชมพูประกายสดใส เสริมความมั่นใจเพื่อให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการไฮไลต์สันจมูก ส่วนตาสีท้องฟ้า หรือประกายเหลือบทอง ปัดแก้มด้วยสีอ่อนเช่น ชมพูอ่อน ม่วงอ่อน เน้นแต่งเติมผิวใต้ดวงตาเพื่อส่งเสริมความรัก

ราศีมีน (14 มี.ค. - 14 เม.ย.) ธาตุ น้ำ ดวงตาควรใช้สีชมพูอมม่วงอ่อน หรือเขียวอ่อนของใบไม้แรกผลิหรือสีควันบุหรี่ประกายขาวสดใส คิ้วกันให้ได้รูปรับกับใบหน้า เน้นริมฝีปากสีชมพูประกายสดส่งเสริมให้สุขภาพดี

ราศีเมษ (15 เม.ย - 14 พ.ค.) ธาตุ ไฟ สีผิวมักออกคล้ำ คางเด่น คอยาวระหง หน้า ผากกว้าง คิ้วดกควรปัดมาสคาร่าเน้นเปลือกตาด้วยสีเงิน สีบรอนซ์ โหนกแก้มเอิบอิ่มด้วยสีธาตุไฟสว่างด้วยสีบรอนซ์เงิน สีม่วง และสีส้มแดง ริมฝีปากมันวาวดูเป็นประกายเย้ายวนด้วยสีชมพูแดง ส้มโอลด์โรส ชมพูประกายใสและแดงแตงโม

ราศีพฤษภ (15 พ.ค. - 14 มิ.ย.) ธาตุดิน ใบหน้ากลม จมูกโด่ง แต่งหน้าด้วยเฉดสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก ปัดแก้มด้วยสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลประ กายทอง น้ำตาล อมม่วง เน้นขอบตาและเปลือกตาด้วย สีโกโก้ น้ำตาลเข้ม ทรายทอง ใช้ลิปสติกโทนน้ำตาลแดง น้ำตาล อมส้ม สีแดงประกายสดใส สีส้มโอลด์โรสทำให้รอยยิ้มอบอุ่นน่าใกล้ชิด

ราศีเมถุน (15 มิ.ย. - 12 ก.ค.) ธาตุ ลม ใบหน้าอูมสวย จมูกโด่งหรือใหญ่ ดวงตา แจ่มใส ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย แก้มและหน้าผากโหนก ริม ฝีปากได้รูป ควรใช้โทนสีธรรม ชาติที่ดูสดชื่นแจ่มใส เสริมความเป็นตัวเอง ดวงตาเน้นสีเขียวเข้ม ฟ้าอมเทา ประกายขอบตาเหลือง หรือทอง แก้มสีส้มอิฐ หรือชมพูสดใส ริมฝีปากเพิ่มความงามด้วยสีส้มแดงและสีชมพูกลีบกุหลาบ

ราศีกรกฎ (16 ก.ค. - 16 ส.ค.) ธาตุน้ำ หน้าผากนูนสวย จมูกเชิดงอน แก้มใสอิ่ม ริมฝีปากเต็มได้รูป ดวงตาแลดูอ่อนเยาว์ใส การแต่งแต้มใบหน้า เน้นรอยยิ้มและดวงตาเปล่ง ประกายสดใสด้วยสีเขียวน้ำทะเล สีม่วงอ่อน สีเขียวพฤกษ์ไพร โหนกแก้ม สีส้มอิฐ ริมฝีปากสีชมพูเข้ม และชมพูสดใสดูเป็นประกาย

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. - 15 ก.ย.) ธาตุไฟ ใบหน้าดูดีได้รูปสีชมพูเปล่งปลั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลสนิทคมขาว ใช้สีเจิด จ้าเสริมพลัง ควรทาตาด้วยสีบรอนซ์เงิน น้ำตาลทอง สีฟ้าอมม่วงและเปลือกตาประกายเหลืองทอง ปัดแก้ม ด้วยสีอิฐประกายเงิน ริมฝีปากควรเสริมด้วยสีชมพูแดง ชมพูสดใส สีแดงฉ่ำเนื้อแตงโมและสีชมพูเหลือบม่วง

ราศีกันย์ (16 ก.ย. - 16 ต.ค.) ธาตุ ดิน สีสันบนใบหน้าที่จะเติมพลังชีวิตนั้นคือ สีชมพูอ่อน สีอิฐ สีส้ม พวง แก้มน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลประ กายทอง เปลือกตาใช้สีแดงกุหลาบ แดงชบา ชมพูเหลือบม่วง น้ำตาล ส่วนริมฝีปากแต่งด้วยสีโอลด์โรส

ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 15 พ.ย.) ธาตุลม ใบหน้ารูปไข่ คางมน ตาสีเข้ม ริมฝีปากสวย ผิวพรรณดี แต่งแต้มใบหน้าเน้นความสมดุลของธรรมชาติ ดวงตาสีเขียวเข้มของพรรณไม้ สีม่วงประกายขาว สีเขียวอ่อน เพิ่มเสน่ห์ดึงดูดใจ ด้วยแก้มโทนสีส้ม สีอิฐ สีโอลด์โรสและชมพู รับกับริมฝีปากส้มแดง สีโอลด์ โรสประกาย

ราศีพิจิก (16 พ.ย.-14 ธ.ค.) ธาตุน้ำ แววตามีเสน่ห์ชวนมอง คิ้วเข้ม ใบหน้าและรอยยิ้มน่าประทับใจ ควรแต่งแต้มเปลือกตาด้วยสีม่วงเข้ม ฟ้าอ่อน และเขียวน้ำทะเล เพิ่มพลังของแววตา ด้วยประกายทองและฟ้า แก้มชมพูดูมีเสน่ห์น่าค้นหา ริมฝีปากชมพูเข้ม

ราศีธนู (15 ธ.ค. - 13 ม.ค.) ธาตุไฟ ใบหน้ามักมีรูปไข่ ควรมีสีส้ม น้ำตาลทองหรือออกส้มแดงและสีอิฐที่แก้ม แต่งเปลือกตาด้วยสีอบอุ่น เช่น น้ำตาล น้ำตาลทอง เขียวและชมพูแดง ริมฝีปากธรรมชาติด้วยสีส้มสด หรือส้มโอลด์โรส ชมพูกลีบกุหลาบสดใส และน้ำตาลเหลือบม่วง ควรเสริมความมันวาวให้ริมฝีปากแลดูเย้ายวนใจ

แต่งผมแบบ 12 ราศี

- ราศีมังกร ควรตัดผม หน้าม้าเสมอคิ้ว เพิ่มประกายสดใสเส้นผมด้วยสีน้ำตาลประกายส้มหรือน้ำตาลช็อกโกแลต

- ราศีกุมภ์ ดัดผมเป็นลอนคลื่นนุ่มสลวย เพิ่มสีสันด้วยสีบลอนด์อ่อน ประกายหมอกเหลือบเขียว

- ราศีมีน ซอยสไลด์ทั้งศีรษะแต่ไม่สั้นมากปล่อยด้าน หลังให้ยาวระดับบ่า ด้านหน้าตัดขอบเฉียงปิดตา 1 ข้าง ทำให้เธอดูมีเสน่ห์น่าค้นหา จัดทรงปล่อยเส้นผมให้เป็นอิสระ เพิ่มสีสันด้วยน้ำตาลอ่อนประกายชมพู

- ราศีเมษ ปล่อยด้านข้าง ยาวกว่าปลายคาง จับเซต ออกมาในลักษณะของการสลับไขว้กันไปมาให้ดูโฉบเฉี่ยว เพิ่ม ชีวิตชีวาด้วยสีหมอกน้ำเงิน ไฮไลต์สีบลอนด์อ่อน

- ราศีพฤษภ ผมหยิกแบบเปิดหน้าผากตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาควรให้ยาวเกินคางมาสัก 2-3 ซม.จะช่วยให้หน้าดูเด่นและคมขึ้น ไฮไลต์ช่วงลอนด้วยสีบลอนด์อ่อนมากที่สุดเพื่อให้ตัดกับสีเข้มของด้านบน

- ราศีเมถุน ผมซอยเป็นม้า ระดับลูกตา ด้านข้างไว้จอนเป็นประกายถึงปลายคาง ด้านหลังซอยบาง ๆ คล้ายผมรากไทร ไฮไลต์สีบลอนด์อ่อนประกายแดงทองเป็นช่อ ๆ ทั้งศีรษะ

- ราศีกรกฎ ตัดทรงบ๊อบประยุกต์ ไฮไลต์เป็นช่อ ๆ ด้วยสีแดง

- ราศีสิงห์ ผมซอยสั้น เน้นความยาวของเส้นผมบริเวณกลางศีรษะชี้ขึ้นมาเป็นแนวคล้ายครีบปลา แต่งแต้มสีสันด้วยสีบลอนด์จาง ๆ

- ราศีกันย์ ทรงผมไม่ว่าจะ เป็นผมปล่อยธรรมชาติหรือรวบแบบไม่ตั้งใจเสมือนเพิ่งตื่นนอนจัดแต่งให้ดูนุ่ม นวลมีน้ำหนักและพลิ้วไหว ทำสีบลอนด์ผสมม่วงประกายมุก

- ราศีตุลย์ ให้ปลายผมชี้ออกเสมือนปล่อยเส้นผมให้เป็นอิสระ เพิ่มสีสันด้วยการใช้สีดำรองพื้นและไล่สีประกายชมพูเข้ม

- ราศีพิจิก สไลด์ผมให้สั้นกว่าระดับกรอบหน้าเพื่อให้ ดูเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ทำสีบลอนด์อ่อนประกายแดงมะฮอก กานีผสมสีบลอนด์กลางประกายแดงมะฮอก กานี

- ราศีธนู เปิดหน้าผากก ว้างและมีไรผมพองาม เติมสีสันเพิ่มเสน่ห์ให้เส้นผมด้วยแบบผมยาวประบ่า ทำโลว์ไลต์สีชมพูผสมสีเขียว


หน้าตาท่าทางดี จะทำดีด้วยหรือไม่?????

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พระไพศาล วิสาโล “สุนทรกถาในโอกาสรับรางวัลศรีบูรพา”

ความผาสุกของสังคมใดก็ตามมิได้ขึ้นอยู่กับการมีระบอบเศรษฐกิจการเมืองที่ ก้าวหน้าเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้คนด้วย จริงอยู่คุณภาพของผู้คนนั้น ด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับระบบเศรษฐกิจการเมืองสังคมที่แวดล้อมตัวเขา แต่อีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณค่าที่สังคมนั้นยึดถือร่วมกันจนเป็นวัฒนธรรม ของสังคม หากวัฒนธรรมของสังคมหรือคุณค่าที่ผู้คนยึดถือนั้นเป็นไปเพื่อส่งเสริมความ เห็นแก่ตัว การเอารัดเอาเปรียบหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน คุณภาพของผู้คนก็ถดถอยและบั่นทอนสังคมให้อ่อนแอ จนนำไปสู่วิกฤตต่าง ๆ มากมาย ทีี่เหลือไปอ่านจากลิงค์ครับ.....ยังมีดีอีกเยอะเลยตามไปดูด่วน!!!!!

http://jitwiwat.blogspot.com/2010/05/blog-post_28.html

ความเห็นผิด + คลิปเสก โลโซ(เพลงโลภะ โทสะ โมหะ )



ความเห็นผิดตามหัวข้อ ทำให้เกิดอะไร การดำรงชีวิตผิด การใช้ผิด ทำให้เบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนผู้อื่น ทำตนให้เดือดร้อน และคนอื่นๆลำบากหรือไม่เป็นไปด้วยดี ทีนี้ตามคำสอนที่สุดยอดขององค์สมเด็จฯ มีคำว่า โมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?

ใจ ได้สัมผัสอารมณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา เพราะจำได้หมายรู้ (สัญญา) แล้วคิดปรุงแต่งไม่ดี (สังขาร) แล้วเกิดความไม่พอใจ อิจฉาริษยา โกรธ พยาบาทปองร้าง ฯลฯ
นั่นคือ ความทุกข์ใจ ถ้าควบคุมความรู้สึกในใจที่ไม่ดีเหล่านี้ได้ ก็จะแสดงออกทางกาย ทางวาจาให้เห็น

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”

อยสูตร ติ. อํ. (๕๕๗)
ตบ. ๒๐ : ๓๔๕ ตท. ๒๐ : ๓๐๒

*** องค์ประกอบของมิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง) ***
มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง เมื่อแยกบทแล้ว ได้ ๒ บท คือ

มิจฉา แปลว่า วิปริต

ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็น

เมื่อรวมกันแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิ แปลว่าความเห็นที่วิปริต หมายถึง ความเห็นที่ผิดแผกไปจากความเป็นจริง ดังวจนัตถะแสดงว่า

มิจฺฉาปสฺสตีติ - มิจฺฉาทิฏฐิ

แปลความว่า "ธรรมชาติใด ย่อมมีความเห็นที่วิปริตผิดไปจากความเป็นจริง ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า มิจฺฉาทิฏฐิ"

เรื่องมิจฉาทิฏฐินี้ พระพุทธองค์แสดงไว้อย่างกว้างขวาง มีสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่า เป็นเรา.

สำหรับมิจฉาทิฏฐิในมโนทุจริตนี้ มุ่งหมายเอา"นิยตมิจฉาทิฏฐิ" ๓ ประการ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหยาบ ที่ให้สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบทได้ ส่วนมิจฉาทิฏฐิอย่างอื่นนั้น เป็นเพียงทิฏฐิสามัญเท่านั้น

นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ คือ

๑. นัตถิกทิฏฐฺ มีความเห็นว่า ทำอะไรก็ตาม ผลที่พึงได้รับนั้น ย่อมไม่มีความเห็นผิดชนิดนี้ จัดเป็นอุจเฉททิฏฐิด้วย คือ เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไป ไม่มีการเกิดอีก ในสามัญผลสูตร แสดงความเห็นผิด ชนิดที่เป็น นัตถิกทิฏฐินี้ว่า ได้มาจากความเห็นผิด ๑๐ อย่าง คือ

๑) เห็นว่า การให้ทานไม่ได้รับผลแต่อย่างใด

๒) เห็นว่า การบูชาต่างๆ ไม่ได้รับผล

๓) เห็นว่า การต้อนรับเชื้อเชิญไม่ได้รับผล

๔) เห็นว่า การทำดี ทำชั่วไม่ได้รับผลแต่อย่างใด

๕) เห็นว่า ผู้มาเกิดในภพนี้ไม่มี

๖) เห็นว่า ผู้ไปเกิดในภพหน้าไม่มี

๗) เห็นว่า คุณมารดาไม่มี

๘) เห็นว่า คุณบิดาไม่มี

๙) เห็นว่า สัตว์ที่ผุดเกิดเติบโตในทันที คือ สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม ไม่มี

๑๐) เห็นว่า สมณะพราหมณ์ ที่รู้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยตนเอง และสามารถแนะนำชี้แจงสมณะพราหมณ์ ที่ถึงพร้อมความสามัคคี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นั้นไม่มี

ผู้มีนัตถิกะทิฏฐินี้ มีความเห็น"ปฏิเสธผล" ซึ่งเท่ากับปฏิเสธอำนาจกุศล อกุศลเจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดผลต่างๆด้วย

๒. อเหตุกทิฏฐิ คือผู้ที่มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังได้รับความลำบาก หรือความสบายก็ตาม ไม่ได้อาศัยเหตุใดๆ ให้เกิดขึ้นเลย เป็นไปเองทั้งนั้น ในสามัญผลสูตรแสดงว่า ชนกเหตุ คือเหตุให้เกิด และอุปถัมภกเหตุ คือ เหตุช่วยอุปถัมภ์ ให้สัตว์ทั้งหลายมีความเศร้าหมอง ลำบากกาย ลำบากใจนั้นไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเศร้าหมองและลำบากอยู่นั้น ก็ไม่มีชนกเหตุ และอุปถัมภกเหตุแต่อย่างใด เหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากความลำบากกาย ลำบากใจนั้นไม่มี และสัตว์ทั้งหลายที่มีความบริสุทธิ์ พ้นจากความลำบากกายใจได้นั้น ไม่เกี่ยวกับชนกเหตุ และอุปถัมภกเหตุแต่อย่างใด
ผู้มีอเหตุกทิฏฐินี้ มีความเห็น"ปฏิเสธเหตุ"ไม่เชื่อว่ากรรมดี หรือกรรมชั่วที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำกันอยู่ทุกวันนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดผลได้ ผู้ที่ปฏืเสธเหตุ เท่ากับเป็นการปฏิเสธเหตุ และผล ดังสามัญผลสูตร อรรถกถาว่า "ผู้ที่เห็นว่า ความสุขทุกข์ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่เกี่ยวเนื่องมาจากเหตุ ก็เท่ากับว่า เป็นการปฏิเสธเหตุ และผล ไปพร้อมกันด้วย"

๓. อกิริยทิฏฐิ มีความเห็นว่า การกระทำต่างๆของสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่สำเร็จเป็นบาป บุญแต่ประการใด ในสามัญผลสูตรแสดงว่า

ผู้ที่มีความเห็นผิดชนิดอกิริยทิฏฐิ เห็นว่า การทำดี ทำชั่วของสัตว์ทั้งหลาย จะทำเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อื่นทำก็ตาม ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบุญ บาป หรือฆ่สัตว์ด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำก็ตาม ลักทรัพย์ด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลักทรัพย์ก็ตาม ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบุญ บาป

ความเห็นผิดชนิดอกิริยทิฏฐินี้ เป็นความเห็นที่ปฏิเสธกรรม อันเป็นตัวเหตุ ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า ปฏิเสธผลของกรรมด้วย ดังในสามัญผลสูตร อรรถกถาแสดงว่า

"เมื่อปฏิเสธการการทำบาป บุญที่เป็นตัวเหตุแล้ว ก็เท่ากับปฏิเสธผลของการทำบาป บุญนั้นด้วย"

นิยตมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นความเห็นผิดชนิดที่สามารถส่งผล ให้เกิดใน"นิรยภูมิ"อย่างแน่นอน แม้พระพุทธองค์ก็โปรดไม่สำเร็จ (นิรยภูมิ - สัตว์นรก)

(คัดจากหนังสือ พระอภิธรรมมัตถสังคหะ)

พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง โคลนติดล้อ บท 5 ความเห็นผิด
---------------

ไม่ต้องสงสัยเลย ความเห็นที่ประหลาดที่สุดนั้น ก็คือความเห็นที่ว่า ถ้าสามารถจะอ้างเอาอย่างฝรั่งขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้แล้ว จะประพฤติให้เลวทรามต่ำช้าแม้เสมอกับเดียรัจฉานก็ทำได้ ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการจะเมา ก็ไปเชิญเอาพวกพ้องมาสัก 3 หรือ 4 คนแล้วก็ "ดื่มให้กัน" จนทุกคนลงนอนกลิ้งอยู่ใต้โต๊ะใต้เก้าอี้กับพื้นหรือกับดิน ซึ่งดูราวกับสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วนั้นก็ทำได้ หรืออีกอย่าง 1 เมื่อกล่าวเท็จ กลับชมตนเองว่า ค่อนข้างแหลมอยู่ หรือมิฉะนั้น ถ้าปรารถนาสิ่งไรซึ่งมิใช่ของตนเอง ก็หยิบเอาเสียเฉย ๆ ได้โดยแก้ตัวว่า ตนเป็นคนอิสระไม่ต้องพึ่งผู้ใด "จะไปนั่งคอยถือประเพณีอันล่วงสมัยของคนพื้นเมืองเอาเรื่องอะไร?"

ถ้าแม้มีสาเหตุแค้นเคืองเป็นส่วนตัวอยู่กับผู้ใด เข้าใจว่าถ้าตรงไปเอาปืนยิงมันเสียแล้ว คนทั้งหลายก็จะกลับเห็นชอบด้วยกับตน เพราะในอเมริกาเขาทำกันอย่างนั้น แต่ตัวอย่างตามที่กล่าวมานี้ บางท่านจะเห็นว่ารุนแรงเกินไปก็เป็นได้ ข้าพเจ้าได้ยกมา พอเป็นอุทาหรณ์เพื่อส่อให้เห็นว่าการมีความเห็นผิดนั้น อาจจะให้ผลลึกซึ้งได้ปานใด

ข้าพเจ้าไม่จำเป็นที่จะบรรยายว่า ความ เห็นผิดเหล่านี้เกิดมีมาอย่างไร เพราะเหตุว่ามีแจ้งอยู่ในพระราชนิพนธ์ เรื่องประโยชน์แห่งการอยู่ในธรรม ซึ่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ลงในสมุทรสาร เล่ม 4 เดือนเมษายนนั้นแล้ว แต่ไม่ต้องสงสัยเลย การคบค้าสมาคมกับฝรั่งไพร่มีผลทำให้คนไทยหนุ่ม ๆ ซึ่งสำคัญตนว่าได้รับความศึกษามาแล้วนั้น บกพร่องไปในทางจรรยา ที่จริงก็ไม่ผิดกับวิธีฝรั่งที่นำความ "ศิวิไลซ์" ไปสู่พวกอินเดียนผิวแดง โดยใช้สุราเป็นเครื่องเพาะความนิยม แต่บังเอิญเป็นโชคดีของชาวเราที่ยังมีพระศาสนาอันประเสริฐ ซึ่งได้ช่วยเหนี่ยวรั้งชาวเราได้รอดพ้นจากภูมิอันทรามต่ำช้า เช่น ชาวอินเดียนผิวแดงอันน่าสังเวชที่กล่าวมาแล้วนั้น

ท่านไม่นึกหรือว่า ความเห็นผิดในทางจรรยาดังว่านี้ เป็นมลทินแก่นามอันงามของชาติเรา? ถ้าท่านเห็นว่าเป็นมลทินแล้ว ข้าพเจ้าหวังใจว่า ท่านจะถือเอาเป็นกรณียกิจของท่านอย่าง 1 ที่จะบันดาลให้ความเห็นเช่นนี้เสื่อมสูญไป ความเห็นผิดจะคงมีอยู่ต่อไปได้ก็แต่เมื่อผู้ที่เห็นผิดนั้นยังได้รับความ ผ่อนผันปราณี ถ้าเราจะทำให้เป็นที่เข้าใจเสียให้ชัดเจนว่า เราจะไม่คบค้าเขาเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจะคงประพฤติชั่วอยู่ต่อไปได้ก็หาไม่

มีคนอยู่เป็นอันมาก แม้ไม่เลวเท่าที่ข้าพเจ้าได้ยกมากล่าวก็ดี ยังต้องนับว่ามีความผิดอยู่ คือมีอยู่หลายคนที่นับว่าเป็นคนฉลาดมีสติปัญญา แต่เห็นผิดคิดไปว่าเป็นการสมควรที่จะต้อนรับแขกด้วยวิศกี้และโซดาแทนน้ำ

เพราะว่าเขาเข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมในสมาคม แห่งฝรั่งผู้ดี เขาเหล่านี้จะยังไม่เคยได้ทราบเลยกระมังว่า ฝรั่งผู้ดีเขามีประเพณีการเลี้ยงน้ำชาเวลาบ่าย ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักคน ๆ 1 ซึ่งเป็นคนดี และเป็นคนที่เสพสุราไม่ได้เลย แต่เขารับแขกด้วยวิศกี้โซดาเสมอ เมื่อถามเขาว่าด้วยเหตุใดจึงทำเช่นนั้น เขาก็ตอบว่าเขาไม่อยากที่จะให้คนเรียกเขาว่าขี้เหนียว เพราะไม่ว่าแห่งใดที่ที่เขาได้ไปเยี่ยมเยียนก็เห็นเขาใช้รับแขกกันเช่นนี้ ทั้งนั้น เออ! สำหรับผู้ที่กินเหล้าไม่เป็น ธรรมเนียมนี้ก็ลำบากอยู่บ้าง แต่ผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักนั้นก็ถือเอาเป็นธรรมเนียมโดยมิได้ปริปากบ่นว่า ประการใด เพราะเขาคิดว่าเป็นของต้องทำเพื่อรักษาความนับถือแห่งมิตรของเขา

อนิจจา! ถ้าเราจะรักษาความนับถือแห่งมิตรไว้ไม่ได้ นอกจากด้วยความช่วยเหลือจากท่านยอนเดวาหรือวิศกี้ที่เลวกว่าฉะนี้แล้ว ดูเราก็จะเดินลงลึกเสียแล้วกระมัง ท่านไม่นึกหรือว่าการที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีอะไรที่ไม่ชอบกลสักอย่าง 1 เป็นแน่?

ความเห็นผิดอีกอย่าง 1 ซึ่งมีฝังอยู่ในคนจำพวก 1 นั้นก็คือว่า ถ้าแม้เป็นหมอความแล้ว ถึงจะฝ่าฝืนกฎหมาย ๆ ก็จะคุ้มครองตน ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องคน ๆ 1 ซึ่งจับเรียนกฎหมายโดยความมุ่งหมายอย่างเดียวจะตีหัวคนอีกคน 1 เขาได้สอบไล่กฎหมายได้จริง ๆ และเขาได้พยายามทำร้ายร่างกาย เช่นที่ได้ตั้งใจไว้จริง ๆ ด้วย แต่ไม่จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวเพิ่มเติมว่า ในเวลานี้ ผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้ได้ไปอาศัยอยู่ในตะรางแล้ว! ถ้าความเห็นผิดในเรื่องอำนาจแห่งกฎหมายยังมีอยู่ตราบใด สง่าแห่งกฎหมายก็ย่อมจะไม่แผ่เผยพูนเพิ่มได้ตราบนั้น เพราะฉะนั้นถึงแม้จะต้องถูกหาว่าซ้ำซาก ข้าพเจ้าก็ยอม แต่จะต้องขอถามท่านอีกสักครั้ง 1 ว่า การเป็นอยู่ตามที่ควรจะเป็นแล้วละหรือ? ถ้าท่านเห็นว่าไม่ควร ดังที่ข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านจะเห็นเช่นนั้น ท่านจะไม่ช่วยลบล้างความเห็นที่ผิดนี้ละหรือ? ถ้าท่านจะรักษาอำนาจแห่งกฎหมาย และท่านประสงค์จะให้กฎหมายเป็นเครื่องคุ้มครองชีวิตร่างกายและทรัพย์สมบัติ ของท่านแล้ว ท่านก็ต้องสะบัดหน้าไม่สมาคมคบค้า พวกที่ใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์อย่างร้ายกาจของเขานั้นอีกต่อไป

ในที่สุดยังมีความเห็นผิดอยู่อีกอย่าง 1 ในเรื่องความเป็น "อิสระ" ซึ่งบางคนอธิบายว่า คือการเลือกทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่เลือกว่าจะผิดหรือให้โทษเพียงใด คนประเภทนี้ย่อมเป็นที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย และเมื่อเขาดื่มสุราเฟื่องขึ้นด้วยแล้ว ก็เป็นอันเหลือสติกำลังที่จะทนทานได้จริง ๆ! ถ้ามีคนคัดค้านเข้าคราวใด ผู้ตั้งตนเองเป็นผู้รักษา "อิสระภาพ" นี้ ก็มักใช้วาจาหยาบคาย ด่าว่าเฉพาะบุคคลอย่างทารุณ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นคำโต้ตอบความโง่เขลาของชาวพื้นเมือง แต่ส่วนข้อที่ตัวเขาเองเป็นไพร่บัดซบและเป็นคนขี้อวด มีวุฒิอย่างนกแก้วที่สามารถจำคำของปราชญ์มากล่าวได้เป็นตอน ๆ ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจนั้น หาได้กระทบมันสมองของมันอันมึนด้วยพิษแอลกอฮอลนั้นไม่

ส่วนเราผู้เป็นไทยแท้ เป็นพลเมืองแห่งชาติไทย จะยอมนิ่งทนคนลามกผู้เป็นมลทินแก่นามว่าไทยต่อไปสักเท่าใด? ถ้าเราตกลงใจจะไม่คบค้ามันต่อไป เราก็ไม่จำเป็นต้องคบเลย เราไม่ต้องการความเป็นไทยชนิดที่พวกไพร่บัดซบเหล่านี้สำแดง! เราทั้งหลายมีความเป็นไทยของเราเองอันเป็นสิ่งซึ่งสง่างามอยู่แล้ว ความเป็นไทยอย่างนี้แหละเราทั้งหลายพึงสงวนไว้ให้ถาวรวัฒนาจนกว่าจะสิ้นดิน ฟ้า

ที่มา
http://www.geocities.com/Tokyo/Shrine/6611/a008_05.htm

สัมมาทิฐิ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

มิจฺฉาทิฏฐิ แปลความว่า มีความเห็นที่วิปริตผิดไปจากความเป็นจริง

ที่ผมวา่งไว้เพราะไม่อยากมีทุกข์ ๆ เกิดจาก และจะละได้ด้วย

กระบวนการของการเกิดความทุกข์ของมนุษย์เราโดยสังเขป จะเกิดขึ้นเมื่อใด
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่ตามองเห็นสิ่ง ต่างๆ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วเกิดความไม่พอใจ โดยแสดงอาการท่าทางต่างๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เห็น นั่นคือ ความทุกข์
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่หูได้ยินเสียงสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วเกิดความไม่พอใจ โดยแสดงอาการท่าทางต่างๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เห็น นั่นคือ ความทุกข์
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่จมูกสูดดมกลิ่นสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วเกิดความไม่พอใจ โดยแสดงอาการท่าทางต่างๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เห็น นั่นคือ ความทุกข์
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่ลิ้นได้ลิ้มรสสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วเกิดความไม่พอใจ โดยแสดงอาการท่าทางต่างๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เห็น นั่นคือ ความทุกข์
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่กายได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วเกิดความไม่พอใจ โดยแสดงอาการท่าทางต่างๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้เห็น นั่นคือ ความทุกข์
ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่ใจได้สัมผัสอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา เพราะจำได้หมายรู้ (สัญญา) แล้วคิดปรุงแต่งไม่ดี (สังขาร) แล้วเกิดความไม่พอใจ อิจฉาริษยา โกรธ พยาบาทปองร้าง ฯลฯ
นั่นคือ ความทุกข์ใจ ถ้าควบคุมความรู้สึกในใจที่ไม่ดีเหล่านี้ได้ ก็จะแสดงออกทางกาย ทางวาจาให้เห็น

การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน ทำอย่างไรทุกข์ใจจะไม่เกิดทุกข์
เมื่อตาได้สัมผัสกับรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้สูดดมกลิ่น ลิ้มได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และใจได้นึกคิดต้องระวังใจ ไม่ให้คิดปรุงแต่ง จำได้หมายรู้ในทางไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา แล้วความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นครอบง่ำจิต ทุกข์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้

ความสุขไม่มี มีแต่ทุกข์ที่น้อยลงต่างหากละ ฉะนั้นต้องเรียนรู้ในตัวทุกข์ให้แจ้ง

การที่จะเห็นแจ้งอริยสัจ สี่ ตามที่เป็นจริง. ระเบียบแห่งความถูกต้อง คือความถูกต้องตามสัมมัตตะ ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งการบรรลุมรรคผล

สัม มัตตะ 10
สัมมัตตะ แปลว่า ภาวะที่ถูกต้อง หรือ ความเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 10 อย่าง
1. เห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) คือเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
2. ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) คือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมากับความสุขทางกาย ไม่พยาบาทและไม่คิดทำร้ายผู้อื่น
3. เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) คือ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
4. กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) คือ ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดทางกาม
5. เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ) คือ การทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ทำกิจการในสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อคนทั่วไป
6. พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) คือความพยายามที่จะป้องกันมิให้ความชั่วเกิดขึ้น ความพยายามที่จะกำจัดความชั่วที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ความพยายามที่จะสร้างความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นและความพยายามที่จะ รักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ตลอดไป
7. ระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความหลงไม่ลืม รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
8. ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) คือ การที่สามารถตั้งจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน
9.รู้ชอบ (สัมมาญาณ) คือ ผลญาณ ได้แก่ ญาณ 3 วิชชา 3, 8 วิปัสสนาญาณ 9 เป็นต้น
ญาณ 3
1.อตีตังสญาณ หมายถึง รู้อดีตและสาวหาเหตุปัจจัยอันต่อเนื่องมาได้
2.อนาคตังสญาณ หมายถึง รู้อนาคต หยั่งผลที่จะเกิดสืบต่อไปได้
3.ปัจจุปปันนังสญาณ หมายถึง รู้ปัจจุบัน กำหนดได้ถึงองค์ประกอบเละเหตุปัจจัยของเรื่องที่เป็นไปอยู่
วิชชา 3 (ความรู้แจ้ง หรือความรู้พิเศษ)
1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หมายถึง ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนได้, ระลึกชาตได้
2.จุตูปปาตญาณ หมายถึง กำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพพจักขุญาณ
3.อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ในธรรมเป็นทิ่สิ้นไปแห่งอาสวะ(กิเลส)ทั้งหลาย ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ, ความตรัสรู้อาสวักขยญาณ
10.หลุดพ้นชอบ (สัมมาวิมุตติ) คือ อรหันตผลวิมุตติ
1.เจโตวิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้นแห่งจิต หมายถึง ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต หรือความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ (เป็นการเจริญทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน)
2.ปัญญาวิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้นด้วยปัญญา หมายถึง ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, หรือความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง (เป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว)

มิจฉัตตะ 10 แปลว่า ภาวะที่ผิด หรือความเป็นสิ่งที่ผิด
1.มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด หมายถึง ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกุศลกรรมบถ 10 และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
2.มิจฉาสังกัปปะ ความดำริผิด ได้แก่ ความดำริที่เป็นอกุศลทั้งหลาย ตรงข้าจากสัมมาสังกัปปะ
3.มิจฉาวาจา การมีวาจาผิด หมายถึง การมีวจีทุจริต 4
4.มิจฉากัมมันตะ การกระทำผิด หมายถึง การมีกายทุจริต 3
5.มิจฉาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตผิด หมายถึง การเลี้ยงชีวิตในทางทุจริต
6.มิจฉาวายามะ ความพยายามผิด หมายถึง ความเพียรตรงข้ามกับสัมมาวายามะ
7.มิจฉาสติ การระลึกผิด หมายถึง ความระลึกถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เช่น ระลึกถึงการได้ทรัพย์ การได้ยศ เป็นในทางอกุศล อันจัดเป็นสติเทียม เป็นเหตุชักนำใจให้เกิดกิเลสมีโลภะ มานะ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น
8.มิจฉาสมาธิ การตั้งใจผิด หมายถึง การตั้งจิตเพ่งเล็ง จดจ่อปักใจแน่วแน่ในกามราคะ พยาบาท เป็นต้น หรือเจริญสมาธิแล้ว หลงเพลิน ติดหมกมุ่น ตลอดจนนำไปใช้ผิดทาง ไม่เป็นไปเพื่อญาณทัสสนะ และความหลุดพ้น
9.มิจฉาญาณ ความรู้ผิด หมายถึง ความหลงผิดที่แสดงออกในการคิดอุบายทำความชั่วและในการพิจารณาทบทวนว่ความ ชั่วนั้นๆ ตนกระทำได้อย่างดีแล้ว เป็นต้น
10.มิจฉาญาณ ความพ้นผิด หมายถึง การยังไม่ถึงวิมุตติ สำคัญว่าถึงวิมุตติ หรือสำคัญผิดในสิ่งที่มิใช่วิมุตติว่าเป็นวิมุตติ

ชีวิตประกอบด้วย ร่างกายและจิต (รูปและนาม)
1.รูป หมายถึง ร่างกาย คือ ส่วนประกอบของชีวิตเป็นสสาร (ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ)
2.เวทนา หมายถึง อาการที่เป็นความสุข ความทุกข์ และไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและใจ เรียกว่า กายเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์
3.สัญญา หมายถึง ความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ ของใจ
4.สังขาร หมายถึง การคิดปรุงแต่งทั้งทางดี ทางชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว ของใจ
5.วิญญาณ หมายถึง ความรู้แจ้งทางอารมณ์ในสิ่งต่างๆ ของใจ มี 6 ทาง
คือ ตา(จักขุ) หู(โสต) จมูก(ฆานะ) ลิ้น(ชิวหา) กาย (กายะ) ใจ (มโน)

- ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่ตามองเห็นสิ่งต่างๆ เรียก จักขุวิญญาณ
- ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่หูได้ยินเสียงสิ่งต่างๆ เรียก โสตวิญญาณ
- ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่จมูกสูดดมกลิ่นสิ่งต่างๆ เรียก ฆานวิญญาณ
- ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่ลิ้นได้ลิ้มรสสิ่งต่างๆ เรียก ชิวหาวิญญาณ
- ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่กายได้สัมผัสสิ่งต่างๆ เรียก กายวิญญาณ
- ความรู้แจ้งทางอารมณ์เมื่อใจได้สัมผัสอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจ เรียก มโนวิญญาณ

หลงประเด็นไปนานเลย ..... มาดูต่อว่าโมหะเป็นอย่างไร

กิเลส 3 กองที่เป็นต้นเหตุให้บุคคลประกอบกรรมชั่วร้าย หรือที่เรียกว่า อกุศลกรรม ได้แก่

1. โลภะ หมายถึง ความอยากได้ของคนอื่นอันเป็นเหตุให้ทุจริต คอร์รัปชัน หรือในภาษาโบราณเรียกว่า การคดโกง

2. โทสะ หมายถึง ความเคียดแค้น ขุ่นเคืองในอารมณ์เป็นเหตุให้เกิดการประทุษร้ายผู้อื่น

3. โมหะ หมายถึง ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการคิดผิด พูด และทำในสิ่งผิดด้วยคิดว่าเป็นสิ่งถูก

ในกิเลส 3 ประการนี้ โมหะถือได้ว่าเป็นเหตุแห่งอกุศลกรรมที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นตอหรือรากเหง้าให้เกิดกิเลสอื่นๆ ในทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิด หรือที่เรียกว่า มิจฉาทิฐิ อันเป็นอุปสรรคต่อการทำดีทั้งทางกายและวาจา และความเห็นผิดดูเหมือนจะยิ่งเกิดขึ้นและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในสังคม ที่เจริญด้วยวัตถุแต่ด้อยในคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนที่เรียกตัวเองว่า ปัญญาชน หรือคนที่มากด้วยความรู้เมื่อดูจากวุฒิทางการศึกษา และตำแหน่งหน้าที่การงานที่ได้รับ ดังจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อมีการนำเรื่ององคุลิมาลมาเปรียบเทียบกับคนที่สังคม รังเกียจในพฤติกรรมที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมของศาสนา เพื่อต้องการให้เห็นด้วยและคล้อยตามในการนำหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่าง สันติ ด้วยการเรียกร้องให้คนทุกคนมีความสมานฉันท์ รักใคร่ กลมเกลียวกัน ด้วยการให้อภัยในความผิดที่บุคคลที่ว่านี้ได้กระทำไว้ ในทำนองเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้โปรดองคุลิมาลให้กลับใจเป็นคนดี และออกบวช ทั้งยังได้ดวงตาเห็นธรรมด้วยพุทธปริศนาธรรมย่อๆ ว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิหาไม่หยุด”

เพิ่มเติม

โมหะ

กลุ่มโมหะ ธรรมฝ่ายชั่วนี้มี 4 อย่าง คือ

1.โมหะ เป็นความหลง หรือธรรมชาติที่ปิดความจริงของอารมณ์

2.อหิริกะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ละอายในการทำผิดทางกาย วาจา ใจ หรือบาป

3.อโนตตัปปะ เป็นธรรมชาติที่ไม่กลัวเกรงต่อผลของบาป

4.อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่านหรือธรรมชาติที่จับอารมณ์ไม่มั่น

ลักษณะของโมหะ

โมหมูลจิตดวงที่สองเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาประกอบด้วยอุทธัจจะ โดยศัพท์ อุทธัจจะ หมายถึง สภาพไม่สงบ หรือ ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเกิดกับอกุศลจิต ทุกประเภท (ดวง) ขณะใดที่จิตมีอุทธัจจะขณะนั้นไม่มี สติ สติเกิดกับโสภณจิตทุกดวง สติระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม สติไม่ได้เกิดเฉพาะกับวิปัสสนาเท่านั้น ขณะให้ทาน รักษาศีล ศึกษาพระธรรม แสดงพระธรรม หรือเจริญสมถภาวนานั้น สติก็เกิดร่วมด้วย แต่สติในการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

โมหะ เป็นโทษเพราะเป็นมูลของอกุศลธรรมทั้งปวงเมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงอกุศลก็จะสะสมมากขึ้น

โมหะเป็นปัจจัยให้เกิดให้เกิดโลภ เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเพลิดเพลินไปในอารมณ์ทั้งหลายที่ปรากฏทางทวารต่างๆ
โมหะเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะด้วย เมื่อไม่รู้สภาพธรรมก็ย่อมจะโกรธเมื่อประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ
โมหะเกิดกับอกุศลจิตทุกดวง และ
เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมบถ 10 ทางกาย วาจา ใจ ขณะใดที่สติระลึก รู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใดใน 6 ทวารเท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนสามารถดับโมหะได้เป็นสมุจเฉท http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5407


อวิชชา ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่รู้อริยสัจจ์ 4 เพราะอวิชชาจึงไม่รู้ในอริยสัจจ์ข้อที่หนึ่ง คือ ทุกข์อริยสัจจ์ ไม่ประจักษ์ว่านามธรรมและรูปธรรมไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สอง คือ ตัณหา ซึ่งเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เพราะติดข้องในนามและรูป สังสารวัฏฏ์ จึงไม่สิ้นสุด ทุกข์จึงไม่สิ้นสุด ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สาม คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับทุกข์ ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สี่ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นหนทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์ อริยมรรคมีองค์ 8 จะเจริญขึ้นในการเจริญวิปัสสนาภาวนา

โมหะ กำจัดได้ด้วยปัญญา(แต่ปัญญาเกิดจากการมีสติ) คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ หมายความว่าต้องฝึกสติและการรู้ตามจริงเพิ่มเติม.....รับทราบครับผม.....ฮ่าๆๆๆๆๆ

มีข้อมูลประกอบเพิ่มเติม http://www.watpit.org/index.php?option=com_content&view=article&id=215:2009-12-18-20-32-45&catid=86:2009-12-17-06-19-38&Itemid=131 ดูๆกันน่ะครับผม

เหตุนี้ ท่านผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลาย พึงประคองสติ บำรุงสติให้สมบูรณ์ ขยันหมั่นเพียรตั้งสติบ่อยๆ โมหะตัวเผลอซึ่งเป็นศัตรูของสติก็จะลดน้อยลงๆ เบาบางลงตามลำดับ จนกระทั่งดับสิ้นเชื้อสิ้นยางแล้ว จะได้ชื่อว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อทักษิณ ชินวัตรเป็น “ผู้ก่อการร้าย”ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๕/๑-๑๓๕/๒ และ ๑๓๕/๓




รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ในที่สุด ณ ปีพ.ศ. 2553 เดือนพฤษภาคม วันที่ 25 ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำของตระกูลชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ่อของลูก 3 คน ก็ได้กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” อย่างแท้จริงเมื่อศาลอาญาอนุมัติหมายจับในข้อกล่าวหาดังกล่าว

ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เป็นวันเดียวกันเมื่อ 2 ปีก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มชุมนุมครั้งใหม่เพื่อต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตรพ้นผิด และเป็นที่มาของการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายไปปิดสนามบินสุวรรณภูมิใน ที่สุด

ประวัติศาสตร์หรืออดีตที่ผ่านมามีสิ่งดีก็คือ โกหกไม่เป็น บิดเบือนแก้ไขไม่ได้ ลองมาดูซิว่า “ความจริง”ที่ถูกเปิดเผยออกมาเป็นอย่างไร

ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อ 25 พ.ค. 53ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับคดีก่อการร้ายว่า

“ผมถูกใส่ความเป็นผู้ก่อการร้ายโดยใช้หลักฐานเท็จ เหมือน 6 ตุลา 19 ทุกประการ ใช้สื่อโจมตีกล่าวหาว่าล้มสถาบัน เป็น communist แต่เรียกใหม่เป็น terrorist ยัดอาวุธ” พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า

“เป็นนายกฯ มาจากการเลือกตั้งชนะถล่มทลาย 2 ครั้งซ้อน ถูกปฏิวัติยัดข้อหาถูกปล้นทรัพย์ ต่อสู้หาความยุติธรรมโดยสันติกลับถูกยัดเยียดเป็นผู้ก่อการร้าย อย่าเที่ยวไปบอกชาวโลกเขานะว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย อายเขา คนกินข้าว กินขนมปัง ไม่ได้กินแกลบ เอารถถังปราบประชาชนผู้เรียกร้องตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน”

ทักษิณ จึงยังคงเป็นคนที่พูดในสิ่งที่สวนทางกับความจริงอยู่เหมือนเดิม เพราะการก่อการร้ายโดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนโดย “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่ได้เผาบ้านเผาเมืองไปเมื่อไม่กี่วันก่อนจะเป็นการก่อการดีไปได้อย่างไร ใครเป็นผู้นำ สั่งการ จัดหากำลังคน และจัดหาเงินทุนให้ คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ล้วนบ่งชี้มาที่ตัวเองแทบทั้งสิ้น เครื่องยิงลูกระเบิด M-79 จึงมิใช่อาวุธพื้นบ้านที่ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ใช้ ต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองเช่นเดียวกับชาวนาวีต่อสู้กับผู้รุกรานตามที่ทักษิณ เปรียบเปรยกับหนังเรื่อง “อวตาร”ในการให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด



พฤติกรรมที่กระทำโดยกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จับเอาคนกรุงเทพฯ ธุรกิจ เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ และความสงบสุขของประเทศไทย มาเป็นตัวประกัน โดยขู่เข็ญว่าจะ “ทำร้าย” ตัวประกันเหล่านั้นหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมตามคำเรียกร้องยุบสภาจะไม่ถือ ว่าเป็นพฤติกรรมของการก่อการร้ายไปได้อย่างไร จะแตกต่างไปจากโจรก่อการร้ายจี้เครื่องบินที่เอาผู้โดยสารมาเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องตามที่ตนเองต้องการที่ตรงจุดใด

แต่ที่เลวไปกว่านั้นก็คือ มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะ “ฆ่า” ตัวประกันเพราะข้อเรียกร้องที่แท้จริงมิใช่อยู่ที่การยุบสภา หากแต่อยู่ที่ต้องการอำนาจรัฐเพื่อมาล้มล้างความผิดที่ตัวเองมีอยู่ที่ไม่ สามารถลบล้างออกไปได้ด้วยวิถีทางธรรมดาตามกระบวนการยุติธรรม

ดังนั้นการ “เผา” การ “ฆ่า” ด้วยการอาวุธสงคราม ยางรถยนต์ของ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” โดยอาศัยกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นโล่มนุษย์และเป็นเหยื่อด้วยในบางโอกาส จึงเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีคนกล้าทำกับประเทศบ้านเกิดของ ตัวเองได้ขนาดนั้น เพราะผู้บงการต้องการความรุนแรงเพื่อทำให้รัฐบาลไทยกลายเป็นจำเลยต่อสังคม ไทยและสังคมโลกเหมือนดังเช่นกรณี 6 ต.ค. 19 ที่ผ่านมาอันเป็นหนทางหนึ่งที่จะล้มรัฐบาลและกลับเข้ามาสู่อำนาจรัฐอีกครั้ง

มันจึงเป็นยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้โดย “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ต่อกลุ่มคนที่สามารถเรียกร้องความสนใจต่อสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินของ “อำมาตย์” นักข่าว สื่อสารมวลชน อาสาสมัครการแพทย์ หรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง เป็นการแยกกันเดินแต่รวมกันตีที่ไม่ได้สนใจในชีวิตคนหรือทรัพย์สินไม่ว่าจะ เป็น “ไพร่” หรือ “อำมาตย์” แม้แต่น้อย

วาทกรรม สันติ อหิงสา ที่แกนนำคนเสื้อแดงกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ จึงกลายเป็นเพียง “ฉลาก” ที่แสดงข้อความหรือสรรพคุณที่แตกต่างไปจากสิ่งที่อยู่ภายในขวดตามที่อวดอ้าง

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่เป็น “ของจริง” ที่ยึดถือการช่วงชิงมวลชนโดยอาศัยการเมืองนำการทหารผ่านการต่อสู้ด้วย อุดมการณ์ทางความคิดมากกว่าการต่อสู้ทางอาวุธ และได้ใช้เวลากว่า 30 ปีก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการเผยแพร่อุดมการณ์ของตนจนต้องล่มสลายไปในที่สุด แล้ว “ของเทียม” ที่ทำมาอย่างลวกๆ เช่น นปช.ที่ขายฝันหลากสีหลากรสชาติทั้ง “ปฏิวัติฝรั่งเศส” หรือ “การต่อสู้ชนชั้นแบบมาร์กซิสต์” ทำให้ขาดซึ่งอุดมการณ์ทางความคิดที่แท้จริงที่เห็นสอดคล้องกัน มีแต่อุดมเงินและการขาดสติ จึงลงเอยล้มเหลวจนต้องหันมาใช้ปฏิบัติการทางทหารแทนการเมืองและกลายเป็นผู้ ก่อการร้ายในที่สุด

พันธมิตรฯ เริ่มต้นชุมนุมเมื่อ 25 พ.ค. 51 โดยมีอุดมการณ์แนวคิดหลักเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเอื้อประโยชน์ ในการยกเว้นความผิดของทักษิณ ชินวัตร มวลชนที่แห่แหนมาชุมนุมจึงเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน มีอาวุธประจำกายก็คือ “มือตบ” สนับสนุนโดย แม่ยก และพ่อยก ที่หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย หาได้มีใครสามารถผูกขาดการอุปถัมภ์ได้ไม่

การต่อสู้ของพันธมิตรฯ จึงเป็นการต่อสู้ทางความคิดและในเชิงสัญลักษณ์ เหมือนดังเช่นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วโลกที่เขาทำกัน เช่น การชุมนุมประท้วงแสดงออกที่ไม่เห็นด้วยหน้าที่ทำการหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น มิได้ใช้การทหารต่อสู้ด้วยอาวุธนำการเมืองแต่อย่างใด “ความตาย” ที่เกิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ ศพแล้วศพเล่าจึงมิได้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการก่อการร้ายของพันธมิตรฯ ที่ได้จับอะไรหรือใครเป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องให้ปฏิบัติเหมือนดังเช่น ที่แกนนำคนเสื้อแดงทำกับประเทศไทยอันเป็นการแสดงความล้มเหลวในยุทธศาสตร์ที่ ไม่สามารถต่อสู้ทางการเมืองให้ได้รับชัยชนะ

ดังนั้น จึงเป็นการง่ายแต่ขาดความรับผิดชอบเพราะไม่แยกแยะผิดถูกที่จะกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ ปิดและเอาสนามบินสุวรรณภูมิ การท่องเที่ยว การเดินทางเป็นตัวประกัน เป็นพฤติกรรมของการก่อการร้าย ทั้งๆ ที่ผู้ที่กล่าวหามักจะละเลย “ความจริง” ที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิดเพราะรักษาการผู้ว่าการท่าอากาศยานในขณะนั้นเป็นผู้ สั่งปิดโดยพลการ และมิได้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพราะมิได้กำหนดสนามบินสำรองให้ แต่อย่างใด อย่าลืมว่ายังมีเครื่องบินบนอากาศที่มุ่งหน้ามาประเทศไทยอีกหลายเที่ยวบินใน เวลานั้น แล้วจะให้บินไปลงที่ใด ใครกันแน่ที่ควรจะต้องรับผิดชอบระหว่างผู้ประท้วงหน้าสนามบินกับคนสั่งปิด สนามบิน

หากการชุมนุมอยู่หน้าสนามบินโดยสงบปราศจากอาวุธจะเป็นเหตุให้ต้องปิดการ บริการสนามบินทั้งหมดดูจะเป็นการตื่นตระหนก หรือ over react เกินไปหรือไม่ “พลเมืองเข้มแข็ง” ทั้งหลายลองใช้วิจารณญาณพิจารณาดูให้รอบคอบและเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ของคนเสื้อแดงอีกครั้งแล้วจะเห็นความแตกต่างแยกแยะถูก ผิดได้ว่าใครมีพฤติการณ์ “ผู้ก่อการร้าย” อย่างน้อยเมื่อ พันธมิตรฯ “ตกใจ”แกนนำก็ไม่ไปชี้แนะให้ไปขโมยของหรือเผาตึกแต่อย่างใด

อย่าได้อาศัยการสมานฉันท์ หรือปรองดอง แล้วพูดจาแบบ “เหวงๆ” เหมือน โค-ระทมและใครอีกหลายๆ คน เลยว่าให้เลิกๆ ให้อภัยกันไปซะทั้งฝ่ายเหลืองและแดงโดยไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดี

ทักษิณ ชินวัตรจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา เพราะความผิดฐานก่อการร้าย ของประเทศไทยนี้ ได้ถูกตราขึ้นมาใหม่โดยความริเริ่มของทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่ยังอยู่ในอำนาจคล้ายดั่งว่า หากไม่มีกฎหมายชื่อนี้แล้วจะไม่สามารถเอาผิดกับ “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่ประเทศไทยก็มีกฎหมายรองรับความผิดประเภทนี้อยู่แล้ว ในขณะที่วิธีการออกกฎหมายก็การอาศัยเหล่าเนติบริกรออกเป็นพระราชกำหนดมา แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นวิธีพิสดารที่ขาดความรอบคอบ

“ความตาย” หรือแม้แต่หยาดน้ำของคนเสื้อแดงที่ท่านมีศรัทธาโดยแท้จริงจึงเบาบางดุจดั่ง ขนนก เป็นความสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เพราะการปฏิบัติของแกนนำที่มิได้สู้เพื่อความศรัทธาในอุดมการณ์สวยหรูตามที่ กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่สู้เพื่อทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียว

หากไม่ต้องการความรุนแรงไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ทำไมจึงไม่ประณาม “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ทำไมจึงไม่เลิกชุมนุมเมื่อเกิดความรุนแรง อันเป็นสาเหตุ เป็นโล่ ให้ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” อาศัยกำบังเพื่อก่อความรุนแรงคิดร้ายต่อประเทศ และหากมาด้วยใจไม่มีใครจ้าง ทำไมจึงต้องสัญญาว่าหากชนะจะได้ปลดหนี้ ได้บ้านใหม่ ได้อื่นๆ อีกมากมาย ชีวิตดีกว่าเดิม หากไม่ใช่ทักษิณแล้วใครเป็นผู้อุปถัมภ์ เคยให้แกนนำคนเสื้อแดงชี้แจงหรือไม่ แล้วทักษิณจะอุปถัมภ์ไปทำไมหากเขาไม่ได้ประโยชน์

หลังจาก 19 พ.ค. 53 สังคมไทยได้เปลี่ยนไปจากเดิมอันเป็นผลจากการกระทำของทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกันหลังจาก 25 พ.ค. 53 ทักษิณ ชินวัตร ก็พบกับการเปลี่ยนไปสู่สภาพผู้ก่อการร้าย กรรมนั้นบางครั้งก็มาแบบติดจรวดจริงๆ เชื่อหรือไม่

เอามาแปะเพิ่มเติม กันลืม?????

พุทธบูรณา รำลึก 100 ปีชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 26)


www.suvinai-dragon.com

26. อนุทินรำลึก

"พุทธศาสนาคือ ศาสนาแห่งการชนะ! จงชนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้เถิดจะก้าวหน้าในมรรคแห่งพุทธศาสนา"

จาก อนุทินปฏิบัติธรรม ของพุทธทาสภิกขุ

พ.ศ. 2477

...กลางปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953)...สวนโมกข์

วันหนึ่งขณะที่อินทปัญโญกำลังจัดรื้อห้องทำงานบนกุฏิไม้หลังเล็กสองชั้นที่ เป็นทั้งที่อยู่ และที่ทำงานหนังสือของตัวเขาอยู่นั้น เขาได้พบสมุดบันทึกที่เป็น "อนุทินปฏิบัติธรรม" ของตัวเขาที่ตัวเขาได้จดบันทึกไว้วันต่อวันในระหว่างพรรษาปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) อันเป็นเวลาสามเดือนเต็มที่ตัวเขาได้กำหนดไว้สำหรับการฝึกฝนตนเองอย่างเข้ม ข้นโดยงดพูด และงดติดต่อกับบุคคลภายนอกอย่างสิ้นเชิง รูปแบบการบันทึกการปฏิบัติธรรมในตอนนั้นของเขา มีทั้งแบบกรอกข้อความที่เป็นการตรวจสอบเป็นข้อๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับกาย-วาจา-ใจ ในวันนั้นแต่ละวันของเขาว่ามีข้อใดสมบูรณ์บ้าง และข้อใดบกพร่องบ้าง เพื่อเป็นการเตือนตัวเองและตรวจสอบตัวเองอย่างเข้มข้นในแต่ละวัน นอกจากนี้ เขายังเขียนข้อคิดความเห็นพิเศษๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติที่เขาบันทึกเพิ่มเติมไปด้วย

"19 ปีผ่านไปแล้ว" อินทปัญโญคำนึงด้วยความระลึกถึง ช่วงเวลาที่ฝึกฝนตนเองอย่างเข้มข้นที่สุดในช่วงวัยหนุ่มของเขา ในขณะที่เขาพลิกดูแต่ละหน้าของอนุทินเล่มนั้น บันทึกนี้เขียนด้วยลายมือบรรจงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และแทบไม่มีรอยขีดฆ่าเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการคิดที่เป็นระบบ และความกระจ่างในการคิดของตัวผู้เขียน จึงสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรที่ไหลลื่นสละสลวยเช่นนี้ได้

อินทปัญโญเหลือบไปเห็นบันทึกหน้าหนึ่งที่เขาตั้งหัวข้อว่า "สงครามอินทปัญโญ" ซึ่งบรรยายถึงสงครามระหว่างอินทปัญโญภิกขุกับลิ้นของพระมหาเงื่อม โดยที่ตัวเขากินแต่ผักหรือผลไม้ล้วนๆ เพื่อเอาชนะลิ้น จากนั้นเขาก็เปิดสงครามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ ถ้าเขาเผลอตอนถูกยุงกัดหรือมดกัดแล้วไปเกาจนทำให้มดหรือยุงบอบช้ำไปตัวหนึ่ง เขาก็จะทำโทษตัวเองด้วยการไปนั่งในป่ารกให้มดหรือยุงกัดคราวหนึ่งไม่ต่ำกว่า 200 ตัว และไม่ต่ำกว่า 20 นาที

ถ้าเขาขี้เกียจ เขาจะรบกับความเกียจคร้านของตัวเอง ด้วยการนั่งสมาธิจนสว่างคาตา

ถ้าเขาหิว เขาจะรบกับความโหยของตัวเอง ด้วยการกวาดลาน ให้ มากๆ จนไม่หิว

ถ้าเขาเพลีย เขาจะรบกับความล้าของตัวเอง ด้วยการเดินจงกรม ต่อเนื่อง 4-500 เที่ยว

ถ้าเขารู้สึกกลัวในท่าไหน เขาก็จะอยู่นิ่งในท่านั้น จนกว่าจะไม่ขลาด

ถ้าเขารู้สึกอร่อยในอาหาร เขาจะเจือน้ำลงไป หรือทิ้งส่วนนั้นเสีย

ถ้าเขารู้สึกไม่อร่อย เขาจะกินจนรู้สึกว่าเฉย หรืออร่อยโดยสันโดษ

ถ้าเขารู้สึกเพลินในอารมณ์ เขาจะคิดวิปัสสนาจนเห็นอนัตตาในอารมณ์นั้น มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะไม่ลุกไปไหน

อินทปัญโญอ่านบันทึกตอนนี้ไปพลางๆ อมยิ้ม ให้กับความเอา จริงเอาจังแบบเด็ดเดี่ยวของคนหนุ่มของตัวเองในสมัยนั้นไปพลาง เขาคำนึงในใจว่า

"เคล็ดลับของพุทธธรรม คือ ทำอะไรต้องทำกันอย่างเต็มที่ หรืออย่างสุดเหวี่ยง คนหนุ่มคนสาวก็ควรใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยง แต่จะต้องเป็นความสุดเหวี่ยงที่กอปรด้วยสติพร้อมบริบูรณ์"

พุทธศาสนาของเรา ไม่เคยสอนให้ทำอะไรอย่างฉาบฉวย หลักเกณฑ์ในทางพุทธศาสนาทุกอย่างทุกชนิด ล้วนเป็นหลักที่จะต้องทำกันอย่างเต็มที่หรือสุดเหวี่ยงทั้งสิ้น

"เราก็เคยใช้ชีวิตในวัยหนุ่มของเราอย่างสุดเหวี่ยงมาแล้ว"

อินทปัญโญบอกกับตัวเองเช่นนั้น ขณะนั้น เขาเพิ่งย่างเข้า 28 ปี ขณะที่ใน ขณะนี้ เขามีอายุ 46 ปีเต็มแล้ว หลายอย่างภายในตัวเขาเปลี่ยนไป จากเดิม "สงครามอินทปัญโญ" หรือ สงครามที่เขาต้องเอาชนะตนเอง มันสิ้นสุดไปหลายปีแล้ว บัดนี้ การฝึกปฏิบัติในแต่ละวันในชีวิตประจำวันของตัวเขา คือ การบ่มเพาะพัฒนาความสามารถในการยอมรับทุกอย่างได้อย่าง สมบูรณ์สิ้นเชิงในทุกๆ สถานการณ์ ในทุกๆ สภาวะอารมณ์อย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใดๆ และอย่างปราศจากความคับข้องใจใดๆ เพื่อที่ตัวเขาจะสามารถมีประสบการณ์กับทุกๆ สิ่งในแต่ละขณะจิต ในแต่ละปัจจุบันขณะได้อย่างทั้งหมดทั้งสิ้น

เพราะอินทปัญโญทำได้เช่นนี้แล้ว เขาจึงมีพลังงานที่สร้างสรรค์อย่างมหาศาลราวกับไม่มีวันหมดสิ้น เนื่องจากพลังงานของเขาไม่เคยรั่วไหลไปกับกระบวนการคิดและอารมณ์ที่สูญเปล่า ไร้สาระ รวมทั้งไม่ต้องสูญเสียพลังงานไปกับการพยายามหลบหนีความจริงของชีวิตในรูปแบบ ต่างๆ

การปฏิบัติในแต่ละวันของอินทปัญโญในขณะนี้คือ การใช้ชีวิตอัน แสนธรรมดาและปกติ เพราะเขารู้แจ้งแล้วว่า "สรรพสิ่งล้วนสมบูรณ์พร้อมอย่างที่มันเป็นอยู่แล้ว" ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นแค่ลีลาแห่งความไม่เที่ยง ที่มีความหมายอยู่ในตัวของมัน

แต่ทุกๆ สิ่งก็เป็นแค่สัญลักษณ์ เป็นสมมติ โดยที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างสัญลักษณ์กับความจริงที่ถูกรับรู้ในเชิง สัญลักษณ์ สภาวะจิตในขณะนี้ของอินทปัญโญปราศจากความพยายาม ความมุ่งมั่นใดๆ เพื่อการหลุดพ้นหรือการรู้แจ้งอีกต่อไป เพราะเขาสามารถตระหนักได้ว่า พุทธภาวะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อม อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องทำให้พุทธภาวะพัฒนามากไปกว่านี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องพยายามเพื่อ "บรรลุ" อะไรอีก ความพยายามใดๆ เพื่อการบรรลุธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างเงื่อนไข และผิดธรรมชาติทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการไหลลื่นของจิต

การเจริญสมาธิภาวนาของอินทปัญโญก็เปลี่ยนไปจากเดิม ในแง่ที่ว่า เขา ทำมันในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเขาเท่านั้น ไม่ต่างไปจากการกินข้าวหรือการหายใจ มันมิได้เป็นสิ่งพิเศษ จำเพาะแต่อย่างใดอีกต่อไปแล้ว เพราะอินทปัญโญรู้ดีว่า เขาเจริญภาวนาเพื่อ "ข้ามพ้น" ความพยายาม เขาเจริญภาวนาเพื่อ "ข้ามพ้น" การปฏิบัติธรรม เขาเจริญภาวนาเพื่อ "ข้ามพ้น" เป้าหมายแห่งการหลุดพ้นหรือนิพพาน และเขาเจริญภาวนาเพื่อ "ข้ามพ้น" ความเป็นคู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ

การเจริญสมาธิภาวนาของอินทปัญโญในขณะนี้ มันจึงไม่เกี่ยวข้องกับการคาดหวังผลลัพธ์ใดๆ จากการเจริญภาวนานั้น เพราะเขารู้ดีว่า ทุกๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสมาธิก็เป็นแค่ลีลาของใจเท่านั้น จึงไม่มีการทำสมาธิที่ดีหรือไม่ดี อินทปัญโญแค่ทำสมาธิ แค่เจริญภาวนาโดยไม่มีความตระหนักรู้ในเชิงตัวตนว่า ตนเองกำลังสมาธิ หรือกำลังเจริญภาวนาอยู่ ในขั้นนี้จึงไม่มีการบังคับหรือใช้ความพยายามใดๆ ในการควบคุมใจทั้งสิ้น เพราะในสายตาของอินทปัญโญในขณะนี้ การเจริญภาวนามันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปปรับปรุงแก้ไขใดๆ อีก

แต่ในบางเรื่อง อินทปัญโญก็ยังคงมีความเห็นเฉกเช่นกับสมัยที่เขาได้บันทึกอนุทินปฏิบัติธรรม ฉบับนั้น กล่าวคือ เขายังคงมีความเห็นว่า

ทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นความฝันทั้งนั้น! มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ฯลฯ ที่เห็นอยู่นี้ ล้วนเป็น ความฝัน อย่างเดียวกับที่ตัวเขาเห็นในฝันไม่มีผิด คนเราทั้งหลาย นอนหลับตลอดสังสารวัฏ หลับด้วยอวิชชา จิตของคนเราเป็นผู้หลับ ชาติหนึ่งแห่งมนุษย์คือคราวหนึ่งแห่งความฝันของคืนแห่งจิตที่หลับด้วยอวิชชา

โลกนี้และทุกอย่างในโลกนี้ คือ วัตถุแห่งความฝัน ตัวเราก็คือ "เรา" คนใหม่ที่เกิดขึ้น สำหรับเรื่องในฝันด้วยอำนาจของอุปทานกันทั้งนั้น จนกว่าจะตื่นจริงและรู้ตัวจริง เมื่อได้อรหันตมรรคญาณแล้วเท่านั้น

เมื่อรู้แล้วว่า ทั้งหมดคือ สังสารวัฏแห่งความฝัน ถ้าอย่างนั้นคนเราควรทำอย่างไร กับความฝันอันร้ายกาจไม่น่าเชื่อนี้?


พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา
ซึ่งพระองค์หมายความว่า พระนิพพานก็เป็นอนัตตา บุญบาปใหญ่น้อยเป็นอนัตตา ผู้ทำก็เป็นอนัตตา คือเป็นเพียงมายาแห่งจิต เช่นเดียวกับในความฝันที่ฝันกันตามธรรมดา

อนัตตาคือ ภาวะแห่งความฝันของจิต ตัวจิตที่รู้สึกอะไรต่างๆ เหล่านี้คือ ตัวละครสำคัญแห่งความฝัน จิตดวงนี้เกิดมาแต่ความประชุมพร้อม แห่งปัจจัยทาง นามธรรม อันเป็นธรรมชาติประจำอยู่ในโลก เช่นเดียวกับ รูปธรรม อย่างเม็ดกรวดเม็ดทราย จิตดวงนี้เป็นไปโดยอำนาจธรรมชาติ ปรุงแต่งลูบไล้ฉาบทาด้วยอวิชชา มันจึงยึดถือตัวเอง เกิดเป็น "ตัวเรา" ขึ้นสำหรับดำเนินการเรื่องฝันทั้งหลาย

คนเราจึงจำเป็นต้องช่วยตัวเอง ด้วยการชะล้างอวิชชาที่ธรรมชาติฉาบทาไว้จนผ่องใส มีดวงปัญญารู้ว่า "เราหลงไป เราถูกสมมติให้เล่นละครมานานแล้ว เราจะไม่เล่นละครแห่งสังสารวัฏอีก" หลังจากนั้น จึงค่อยชะล้างโคลนคือ อวิชชาออกเหมือนนางละครที่ไม่อยากดำเนินอาชีพนั้นอีก ก็ชะล้างฝุ่นและสีออก ประพฤติตัวเองตามแนวที่ปัญญาพาไปจนหลุดพ้น รู้จักตัวเองถึงที่สุด ผ่องใสอย่างสูงสุด ดับไปโดยธรรมชาติไม่อาจปรุงแต่งได้อีก

นี่คือ การตื่นขึ้นอย่างแท้จริง อันเป็นการตื่นจากทะเล แห่งความฝันของสังสารวัฏซึ่งตัวอินทปัญโญได้ "ตื่น" ขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว


(จากผู้จัดการออนไลน์)

ความผาสุกที่แท้จริง


ความผาสุกจะหาได้จากที่ไหน ?

http://www.morkeaw.net/k-happy.html

จากเวปหมอเขียว ที่ทำให้สะดุดมากคือ สาระแท้อันเป็นประโยชน์สูง สุดที่แท้จริงของมนุษย์ คือ จิตใจที่ผาสุกอย่างยั่งยืนเท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่สาระแท้ ไม่ใช่ประโยชน์แท้เลย จริงหรือไม่

อีกอันคือ http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=223&page=1

ภายในจิตใจถ้ามิได้แก้ไขความเคยชินที่ไม่ดี ได้แต่หาวิธีกำจัดภัยจากภายนอกย่อมไม่ได้ การกำจัดภัยเริ่มต้นที่จิตภายใน

“อันที่จริงกายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟองไข่อันผิวหนังหุ้มไว้ ก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรับรองความเป็นผู้ไม่มีโรค ไม่เจ็บป่วยได้ แม้เพียงครู่เดียว ก็จะมีอะไรเล่า นอกจากความเป็นคนโง่เขล่า เพราะเหตุนั้นแหละท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ แต่จิตของเราจะไม่กระสับกระสายเลย”
(พระไตรปิฎกเล่ม 17 ข้อ 1 “นกุลปิตาสูตร)

สังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง;

พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้,
พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย,
พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด,
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ;

จะดีกีกว่า่าไหม?
ถ้าเปลี่ยน “การสะเดาะเคราะห์ เป็น “การคิดเชิงวิเคราะห์”
ถ้าเปลี่ยน “การบูชาราหู” เป็น “บูชาคนที่ควรบูชา”
ถ้าเปลี่ยน “การตัดกรรม” เป็น “การตัดพฤติกรรม”
ถ้าเปลี่ยน “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” เป็น “ไม่เชื่อต้องศึกษา”
ถ้าเปลี่ยน “ผลประโยชน์” เป็น “ประโยชน์สุข”
ถ้าเปลี่ยน “ชื่อ-นามสกุล” เป็น “การเปลี่ยนวิธีคิด”
ถ้าเปลี่ยน “คำด่า” เป็น “คำแนะนำ”
ถ้าเปลี่ยน “เก่งแต่โกง” เป็น “เก่งและดี”
ถ้าเปลี่ยน “อยากรู้” เป็น “อยากเรียนรู้”
ถ้าเปลี่ยน “ความทุกข์” เป็น “ความสุข”
ถ้าเปลี่ยน “ริษยา” เป็น “มุทิตา”
ถ้าเปลี่ยน “อุปสรรค” เป็น “อุปกรณ์”
ว.วชิรเมธี

ขืนทำ...จะช้ำใจ
อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข
อย่ามีความสุขที่ผิดศีลธรรม อย่าจำแค่เรื่องเลวร้าย
อย่าสบายจนเคยตัว อย่ากลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า
อย่าบ้าฟังคำคนสอพลอ อย่ารอให้พระเจ้ามาช่วย
อย่ารวยบนความฉ้อฉล อย่าเป็นคนเห็นแก่ได้
อย่าใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน อย่าปากหวานจนเสียระบบ
อย่าคบคนมองโลกในแง่ร้าย อย่าขายศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
อย่าเป็นชาวพุทธแต่พึ่งไสย อย่าสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
อย่าเก่งอยู่คนเดียว อย่าเที่ยวเกินขอบเขต
อย่าใช้พระเดชจนลืมพระคุณ อย่าพึ่งใบบุญคนอื่นตลอดกาล
อย่าชำนาญในเรื่องชั่วชั่ว อย่าเมามัวกิน กาม เกียรติ
อย่าขึ้งเคียดต่อคนที่คิดต่าง อย่าปลูกต้นกร่างต้นไทร
อย่าลืมใครผู้เคยทำคุณ อย่าสนับสนุนคนพาล
อย่าให้ทานกับคนไม่เห็นคุณค่า อย่ายกเงินตราขึ้นเป็นพระเจ้า
ว.วชิรเมธี

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทักษิณ คนๆหนึ่งที่ทำกับเมืองไทยไ้ว้



เขียนไว้หรือก๊อปเผื่อกันลืม

ต้องตอกย้ำ สันดาน-ธาตุแท้ "ทักษิณ ชินวัตร" http://www.thaipost.net/sunday/290309/2463

* วิเคราะห์ การเมือง

29 มีนาคม 2552 - 00:00

การปราศรัยผ่านวิดีโอลิงค์ของ "ทักษิณ ชินวัตร" เมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา คือจุดจบของนักโทษชายรายนี้ เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือเร่ร่อนไปในประเทศต่างๆ ตราบที่ยังมีกำลังทรัพย์ให้ทำเช่นนั้น
ไม่ใช่เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" ดูหมิ่นเหยียดหยาม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ไม่ใช่เพราะเขา ใส่ร้ายป้ายสีคณะบุคคลที่เขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม
แต่เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่หลงเหลือความเป็นไทยอยู่ในตัว
พฤติการณ์เอาดีเข้าตัวโยนชั่วใส่คนอื่น คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ และจะไม่ยอมให้ "ทักษิณ ชินวัตร" กลับมาเหยียบประเทศไทยอีก
สิ่งที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จชั่วโมงกว่าผ่านวิดีโอลิงค์นั้น โดยสันดานของคนคนนี้ ไม่เอ่ยปากพูดถึงความระยำของตัวเอง ขณะนั่งเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศเพื่อพวกพ้องและครอบครัว เก็บกินผลประโยชน์ของประเทศอิ่มหมีพีมันกันเฉพาะในกลุ่มก้อนของตัวเอง
"ทักษิณ ชินวัตร" โกงบ้านกินเมือง มีใครยืนยันได้บ้างว่าไม่ใช่เรื่องจริง
เขาใช้อำนาจทุกวิถีทางเข้าไปแทรกแซงหน่วยงานของรัฐแทบทุกหน่วยงาน เพื่อเข้าไปทุจริตเชิงนโยบาย
ยุคของ "ทักษิณ ชินวัตร" เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน แบ่งปันกันเฉพาะในหมู่พวกของตนเอง จนเป็นที่มาของคำว่า "โคตรโกง" หรือ "โกงทั้งโคตร"
"ทักษิณ ชินวัตร" แทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ศาลรัฐธรรมนูญ
ล้วนถูกครอบงำ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้
เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในองค์กรอิสระเหล่านี้ ใครเป็นใคร ใครต้องคิดคุก เพราะอุ้มชูระบอบทักษิณ เป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้ว
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่ผู้คนต่างคาดหวังว่า จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมือง กลับกลายเป็นฉบับที่หนุนให้ระบอบทักษิณ เติบโตและแข็งแกร่ง เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" เข้าไปชี้นิ้ว แทรกแซง สั่งการ จนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนง่อยเปลี้ย
"ทักษิณ ชินวัตร" ใช้ช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ บิดเบือนเจตนารมณ์กฎหมายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ได้พูดในการปราศรัยผ่านวิดีโอลิงค์กับคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
เขากลับพูดให้คนเสื้อแดงเห็นอีกด้าน คือด้านที่เป็นคุณกับตัวเขาเป็น "สันดาน" ที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
"ทักษิณ ชินวัตร" จงรักภักดีจริงหรือไม่ ตัวเขาเท่านั้นที่รู้อยู่เต็มอก
การที่เขาพูดถึง "902" ทั้งๆ ที่รู้ว่าคือใคร เขาพูดเช่นนี้ต่อสาธารณชน เขามีจุดประสงค์อะไร
หรือแม้กระทั่ง "02" ที่เขาพูดในการปราศรัยผ่านวิดีโอลิงค์เมื่อคืนวันศุกร์ "ทักษิณ ชินวัตร" มีเจตนาอย่างไร
อย่าลืมว่าเรื่องนี้ไม่ได้พูดกันสองคน แต่พูดต่อที่สาธารณะ มีผู้คนเรือนหมื่นนั่งฟังอยู่ "ทักษิณ ชินวัตร" เรียกขานให้ "เต็ม" ไม่ได้หรือ
เว้นเสียว่า "นักโทษชาย" รายนี้ ไม่ได้คิดแบบที่คนไทยทั่วไปคิด
ปรากฏการณ์ที่ "ทักษิณ ชินวัตร" และคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ "จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ผู้ขายจิตวิญญาณให้นายใหญ่ไปจนหมด โจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีอีกครั้งหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากจุดเชื้อไฟเพื่อให้เกิดความวุ่นวาย หวังจะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่อาจกินขอบเขตในมากกว่านั้น
คือ "เปลี่ยนแปลงประเทศ" ตามความหมายที่ "จักรภพ เพ็ญแข" ได้ให้ไว้
"ทักษิณ ชินวัตร" พูดโจมตีว่า "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นผู้เดินเรื่องในการทำรัฐประหาร ด้วยการแอบอ้างพระราชประสงค์
พร้อมกับพูดจาอวดอ้างว่า "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" คือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาในอดีต
ยุครัฐบาลทักษิณ มี ผบ.ทบ.ชื่อ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" จริง ไม่มีใครเถียง แต่ประเด็นคือ สมควรหรือไม่ที่ "ทักษิณ ชินวัตร" จะนำเรื่องนี้มาพูด เพื่อขยายความในสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้า
เขาต้องการอะไร
คงไม่ใช่ตีเสมอเจ้า
แต่ "ทักษิณ ชินวัตร" เผยให้เห็นธาตุแท้ ว่าคนอย่างเขาต้องยืนอยู่ระดับไหน!
การปราศรัยที่เต็มไปด้วยการปลุกระดม อาศัยความไม่รู้ของคนเสื้อแดง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง
การเรียกร้องให้นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย และอดีตนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ในพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดง เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า การรบที่หวังผลแตกหักเริ่มขึ้นแล้ว
"ทักษิณ ชินวัตร" ต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
แผนการที่วางไว้ น่าจะเป็นสิ่งที่เขาปราศรัยในช่วงท้ายคือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ลบล้างความผิดจากการที่คนเสื้อแดงก่อขึ้น
ให้ถอยกลับไปนับหนึ่งใหม่ เหมือนช่วงที่เขายังคง "รักษาการเก้าอี้นายกรัฐมนตรี" นั่นคืออำนาจยังอยู่ในมือระบอบทักษิณ
แต่แผนนี้ไม่มีทางสำเร็จ เพราะ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนประเทศนี้อีกแล้ว
สิ่งที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ปราศรัยเมื่อคืนวันศุกร์ ถือว่าหมดเปลือกแล้ว เขาไม่สามารถให้ร้ายคนที่เขาคิดว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้มากไปกว่านี้ เพราะคนที่สูงกว่านั้น "ทักษิณ ชินวัตร" ยังหาทาง "แตะ" ไม่ได้ ทั้งที่อยากจะโค่นล้มใจจะขาด
ทั้งหมดจึงอยู่ที่บุคคลซึ่งยืนคนละฝ่ายกับ "ทักษิณ ชินวัตร" ว่าจะเต้นตามจังหวะที่นักโทษชายรายนี้กำหนดขึ้นหรือไม่
ประธานองคมนตรี, องคมนตรี
ประธานศาลปกครอง
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
รัฐบาลประชาธิปัตย์
กองทัพ
ทั้งหมดต้องกำหนดท่าทีที่เหมาะสมกับ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ใช่ไม่สนใจเลย แต่ต้องให้ความสำคัญ ชี้ให้เห็นถึงการโกงกินชาติบ้านเมือง ละเลยจริยธรรมจนถูกคำสั่งศาลให้จำคุก 2 ปี
ต้องพูดถึง "ทักษิณ ชินวัตร" ในฐานะ "นักโทษหนีคุก" เรียกร้องให้เขากลับมารับโทษ
ย้ำให้สังคมเห็นถึงความเลวทรามของการคอรัปชั่น
ความระยำในยุคที่ระบอบทักษิณครองเมือง มีมากมายมหาศาล อยู่ที่ว่าจะรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อหยุด "ทักษิณ ชินวัตร" กันหรือไม่.

คมชัดลึก : วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553

สื่อ แคนาดาระบุ"ทักษิณ"เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศมอนเตเนโกร "ทักษิณ"จ้างผู้เชี่ยวชาญคดีอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศร่วมสอบกรณีสลาย ม็อบแดง บัวแก้วมั่นใจทักษิณฟ้องรัฐบาลไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ได้

(31พ.ค.) เว็บไซต์ข่าวเอ็ดมันตันเจอร์นัล ของแคนาดา รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ชื่อว่าเป็นชาวมอนเตเนโกรที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไปแล้ว และขณะที่คนเสื้อแดงต่อสู้อยู่ในกรุงเทพฯ ตัวเขากลับแสวงหาที่หลบภัยในบอลข่าน

ในขณะที่ใจกลางกรุงเทพฯ ถูกเผา หลังการปะทะกันระหว่างทหารและคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และมีการนับจำนวนผู้เสีย ชีวิตหรือบาดเจ็บนั้น ก็มีคนจำนวนมากที่ถามถึงชายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดตามท้องถนนใน เมืองหลวงของไทยว่า เขาอยู่ที่ไหน นักวิเคราะห์บางคนพยายามโต้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่บุคคลที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ที่ยาวนานหลายเดือนและกลายเป็นเหตุการณ์นองเลือด แต่แกนนำคนเสื้อแดงคนหนึ่งเพิ่งจะให้สัมภาษณ์รายการ " เดอะ เคอเรนต์ " ของสถานีโทรทัศน์ CBS ว่า เขามองว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้เล่นที่สำคัญในทางการเมือง ที่มีส่วนทำให้ประชาธิปไตยของไทยยังคงเดินหน้าต่อไป

แต่สำหรับทางการไทย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้หลบหนีกระบวนการยุติธรรม ยักยอกเงินของรัฐหลายพันล้านดอลล่าร์ ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งอายัดทรัพย์เขา 46,000 ล้านบาท จากการที่เขาแก้ไขนโยบายในรัฐบาลของเขา เพื้อเกื้อหนุนธุรกิจของครอบครัว สำหรับคนบางกลุ่ม เขายังคงเป็นที่รักด้วยเพราะนโยบายประชานิยมของเขายังคงแข็งแกร่งในชนบท

คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า นักการเมืองที่มีคดีติดตัวอย่างเขาจะพยายามใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่โดดเด่น แต่น่าประหลาดใจ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ปิดบังความจริงที่ว่า เขาแบ่งเวลาการใช้ชีวิตระหว่างดูไบและเมืองบุดวาของมอนเตเนโกร ซึ่งมอนเตเนโกรนั้น เป็นประเทศเล็ก ๆ ในคาบสมุทรบอลข่าน ติดชายฝั่งทะเลเอเดรียติก การแยกตัวอย่างนองเลือดออกจากอดีตประเทศยูโกสลาเวีย ทำให้มอนเตเนโกรกลายเป็นสาธารณรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุด และเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2549 ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ ก็ได้เอกราชและอธิปไตยที่สูญเสียไปนานกลับคืนมา

นิตยสารนิวสวี้ค และเดอะ นิว ยอร์คเกอร์ ได้ให้คำจัดความมอนเตเนโกรว่า เป็นที่ลี้ภัยของอาชญกรที่รวมกลุ่มกันกระทำผิด (organized crime) และเป็นแดนสวรรค์สำหรับการฟอกเงิน ซึ่งแม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง รวมถึงเครือญาติและพวกพ้องทางการเมือง ต่างก็ถูกฟ้องร้องอย่างน้อยในสองประเทศ คือ เยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ฐานลักลอบค้าบุหรี่และฟอกเงิน

จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทางการและสื่อของมอนเตเนโกร ต่างระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัญชาติมอนเตเนโกร เมื่อปี 2552 ด้วยความหวังว่า เขาจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รัฐบาลมอนเตเนโกรก็เลยไม่ได้ทำตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองของตนเองหรือ ดำเนินการตามขั้นตอนมาตรฐานใด ๆ ในการให้สัญชาติแก่ พตท.ทักษิณ และเขาได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในมอนเตเนโกร และมักจะถูกพูดถึงอย่างติดตลกว่า ชาวมอนเตเนโกรที่ร่ำรวยที่สุด

นายอิกอร์ ลุคซิช รัรฐมนตรีคลังและรองนายกรัฐมนตรีมอนเตเนโกร อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการนำการลงทุนใหม่ ๆ เข้าไป หรือไม่ก็เข้าไปลงทุนด้วยตนเอง ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวทางเมืองที่เกี่ยวกับไทยนั้น นายมิลาน โรเซน รัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่า เขาได้เตือน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้ใช้เป็นมอนเตเนโกรเป็นกองบัญชาการเพื่อประสานความร่วมมือในการเคลื่อน ไหวทางการเมืองในประเทศไทย เขายังบอกด้วยว่า มีหลายประเทศในยุโรป ที่ให้สัญชาตินักธุรกิจที่มีปัญหาขัดแย้งในระดับสากล และมอนเตเนโกรก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน และที่สำคัญพ.ต.ท.ทักษิณได้กลายเป็นพลเมืองของประเทศนี้ และจะนำความน่าสนใจมาสู่ประเทศนี้เช่นกัน

พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บอกกับสื่อมอนเตเนโกรว่า เขายินดีที่ได้แผ่นดินใหม่ และการต้อนรับของผู้คนและก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวมอนเตเนโกรจริง ๆ ส่วนความสัมพันธ์กับประเทศชาติบ้านเกิด เขายืนยันว่า ยังติดต่อกับผู้สนับสนุนในไทยเป็นประจำทุกวัน ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พตท.ทักษิณ กล่าวว่า เจ้านายของเขากำลังพิจารณาจะไปลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมและสถานที่พักผ่อน บริเวณชายหาดมอนเตเนโกร มีข่าวลือว่า เขาไปซื้อเกาะเซนต์ มาร์ค หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า ฮาวาย ใกล้กับเมืองบุดวา เอาไว้แล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในรายชื่อของบรรดานักลงทุนนานาชาติที่หวังจะเข้าไปลงทุน ในมอนเตเนโกรในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ได้มีหุ้นส่วนทางธุรกิจของรัฐบาลมอนเตเนโกร รวมทั้ง ร็อธสไชด์ส และไทร ไจเแอนต์ คอร์ปอเรชั่น และเหล่ามหาเศรษฐีรัสเซีย ที่เป็นพวก ออลิการ์ช ได้แก่ โรมัน อับราโมวิช , โอเล็ก ดีริปาสก้า และจูรี่ ลุชคอฟ ซึ่งล้วนแต่เข้าไปถือสิทธิ์ในดินแดนที่ในหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวอธิบาย ว่ามีความสวยงามตามธรรมชาติเอาไว้ทั้งนั้น

มีคำตอบง่าย ๆ ว่า เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเลือกมอนเตเนโกรเป็นสถานที่ลงทุนแห่งใหม่ และเป็นแหล่งลี้ภัย ซึ่งคำตอบประการแรกก็คือ นโยบายของรัฐบาลมอนเตเนโกรไม่เน้นเรื่องความโปร่งใส และนักลงทุนต่างชาติที่ทำธุรกิจกับนายกรัฐมนตรีโดยตรง หรือกับครอบครัวของเขา สามารถดำเนินการผ่านธนาคารที่พวกเขามีบัญชีอยู่ ซึ่งจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนกลับมาด้วยความรวดเร็ว และตราบใดที่ผลกำไรนั้นเกิดจากการทำธุรกิจระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนักธุรกิจ ต่างชาติ ตราบนั้นก็ไม่มีใครมาถามถึงแหล่งที่มาของเงินลงทุน

ประการที่สองคือ รัฐธรรมนูญของมอนเตเนโกรไม่มีการส่งพลเมืองไปเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้น จึงเป็นการเหมาะสมที่จะใช้สัญชาติมอนเตเนโกร และพวกเขาจะหลุดพ้นจากปัญหาด้านกฎหมายทั้งปวง เมื่อถือหนังสือเดินทางมอนเตเนโกร ที่เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ยังมีระบบนิเวศน์วิทยาที่สมบูรณ์ และดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ จะพบว่า มอนเตเนโกรเป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยและเป็นตลาดการลงทุนที่ไร้กฎเกณฑ์และ ไร้ขีดจำกัดอีกด้วย

"ทักษิณ"จ้างผู้เชี่ยวชาญร่วมสอบกรณีสลายม็อบแดง

นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความระหว่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยวันนี้ว่า ศาสตราจารย์จี เจ อเล็กซานเดอร์ คนูปส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศ ได้เข้าร่วมทีมกฎหมายระหว่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณเพื่อตรวจสอบการสลายการ ชุมนุมของรัฐบาลไทยเมื่อเดือนเม.ย. และพ.ค.

ศาสตราจารย์คนูปส์เคยทำคดีด้านอาชญากรรมสงคราม สงครามของรัฐต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่างคดีของอดีตยูโกสลาเวีย คดีรวันดา และคดีเซียร์ราลีโอน โดยคดีหลังนั้นอยู่ในรูปของศาลพิเศษจัดตั้งโดยสหประชาชาติและรัฐบาลเซียรร์ ราลีโอน เพื่อพิจารณาคดีผู้ต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และกฎหมายเซียร์ราลีโอนอย่างร้ายแรงตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2539

นายอัมสเตอร์ดัม ระบุว่า เคยทำงานร่วมกับนายคนูปส์มาหลายปี พร้อมชี้ว่าในช่วงของการสลายการชุมนุมมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 140 ราย ส่วนใหญ่ถูกคุมตัวนานกว่า 1 สัปดาห์โดยไม่มีการตั้งข้อหาและไม่ได้รับอนุญาตให้พบทนาย ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนั้นรัฐบาลยังละเมิดพันธกรณีในฐานะที่เป็นสมาชิกประชาคมโลกและสมาชิก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

ล่าสุดทั้งสองคนได้มีส่วนช่วยให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่กลุ่มนปช.และผู้ ชุมนุมเสื้อแดงในกรุงเทพฯและภาคเหนือ

บัวแก้วมั่นใจทักษิณฟ้องรัฐบาลไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ได้

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าเรื่องที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณเตรียมจะฟ้องรัฐบาลไทยต่อศาลอาญา ระหว่างประเทศ ที่นครเฮกของเนเธอร์แลนด์ คงไม่สามารถเป็นไปได้ เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ และไม่ได้ลงสัตยาบันในปฏิญญากรุงโรม ขณะเดียวกันคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เห็นว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของไทย ยูเอ็นไม่แทรกแซง

สำหรับอำนาจการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การเป็นอาชญากรสงคราม อาชญากรรมเกี่ยวกับการรุกราน สงครามระหว่างประเทศ และอาชญากรรมที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ

ส่วนความคืบหน้าเรื่องการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในไทยข้อหาก่อการร้ายนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากฝรั่งเศสแล้ว และกระทรวงกำลังรอดูท่าทีจากมอนเตเนโกร ว่าจะตอบรับคำร้องขอรัฐบาลไทยในการส่งตัวกลับหรือไม่ แต่ยอมรับว่ายากพอสมควร ถึงอย่างนั้นกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการทุกอย่างตามกระบวนการที่ถูก ต้องและพยานหลักฐาน

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do