วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เมื่อทักษิณ ชินวัตรเป็น “ผู้ก่อการร้าย”ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๕/๑-๑๓๕/๒ และ ๑๓๕/๓
รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในที่สุด ณ ปีพ.ศ. 2553 เดือนพฤษภาคม วันที่ 25 ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำของตระกูลชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ่อของลูก 3 คน ก็ได้กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” อย่างแท้จริงเมื่อศาลอาญาอนุมัติหมายจับในข้อกล่าวหาดังกล่าว
ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เป็นวันเดียวกันเมื่อ 2 ปีก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มชุมนุมครั้งใหม่เพื่อต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตรพ้นผิด และเป็นที่มาของการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายไปปิดสนามบินสุวรรณภูมิใน ที่สุด
ประวัติศาสตร์หรืออดีตที่ผ่านมามีสิ่งดีก็คือ โกหกไม่เป็น บิดเบือนแก้ไขไม่ได้ ลองมาดูซิว่า “ความจริง”ที่ถูกเปิดเผยออกมาเป็นอย่างไร
ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อ 25 พ.ค. 53ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับคดีก่อการร้ายว่า
“ผมถูกใส่ความเป็นผู้ก่อการร้ายโดยใช้หลักฐานเท็จ เหมือน 6 ตุลา 19 ทุกประการ ใช้สื่อโจมตีกล่าวหาว่าล้มสถาบัน เป็น communist แต่เรียกใหม่เป็น terrorist ยัดอาวุธ” พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า
“เป็นนายกฯ มาจากการเลือกตั้งชนะถล่มทลาย 2 ครั้งซ้อน ถูกปฏิวัติยัดข้อหาถูกปล้นทรัพย์ ต่อสู้หาความยุติธรรมโดยสันติกลับถูกยัดเยียดเป็นผู้ก่อการร้าย อย่าเที่ยวไปบอกชาวโลกเขานะว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย อายเขา คนกินข้าว กินขนมปัง ไม่ได้กินแกลบ เอารถถังปราบประชาชนผู้เรียกร้องตายเป็นร้อยเจ็บเป็นพัน”
ทักษิณ จึงยังคงเป็นคนที่พูดในสิ่งที่สวนทางกับความจริงอยู่เหมือนเดิม เพราะการก่อการร้ายโดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนโดย “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่ได้เผาบ้านเผาเมืองไปเมื่อไม่กี่วันก่อนจะเป็นการก่อการดีไปได้อย่างไร ใครเป็นผู้นำ สั่งการ จัดหากำลังคน และจัดหาเงินทุนให้ คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ล้วนบ่งชี้มาที่ตัวเองแทบทั้งสิ้น เครื่องยิงลูกระเบิด M-79 จึงมิใช่อาวุธพื้นบ้านที่ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ใช้ ต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองเช่นเดียวกับชาวนาวีต่อสู้กับผู้รุกรานตามที่ทักษิณ เปรียบเปรยกับหนังเรื่อง “อวตาร”ในการให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด
พฤติกรรมที่กระทำโดยกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จับเอาคนกรุงเทพฯ ธุรกิจ เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ และความสงบสุขของประเทศไทย มาเป็นตัวประกัน โดยขู่เข็ญว่าจะ “ทำร้าย” ตัวประกันเหล่านั้นหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมตามคำเรียกร้องยุบสภาจะไม่ถือ ว่าเป็นพฤติกรรมของการก่อการร้ายไปได้อย่างไร จะแตกต่างไปจากโจรก่อการร้ายจี้เครื่องบินที่เอาผู้โดยสารมาเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องตามที่ตนเองต้องการที่ตรงจุดใด
แต่ที่เลวไปกว่านั้นก็คือ มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะ “ฆ่า” ตัวประกันเพราะข้อเรียกร้องที่แท้จริงมิใช่อยู่ที่การยุบสภา หากแต่อยู่ที่ต้องการอำนาจรัฐเพื่อมาล้มล้างความผิดที่ตัวเองมีอยู่ที่ไม่ สามารถลบล้างออกไปได้ด้วยวิถีทางธรรมดาตามกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้นการ “เผา” การ “ฆ่า” ด้วยการอาวุธสงคราม ยางรถยนต์ของ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” โดยอาศัยกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นโล่มนุษย์และเป็นเหยื่อด้วยในบางโอกาส จึงเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีคนกล้าทำกับประเทศบ้านเกิดของ ตัวเองได้ขนาดนั้น เพราะผู้บงการต้องการความรุนแรงเพื่อทำให้รัฐบาลไทยกลายเป็นจำเลยต่อสังคม ไทยและสังคมโลกเหมือนดังเช่นกรณี 6 ต.ค. 19 ที่ผ่านมาอันเป็นหนทางหนึ่งที่จะล้มรัฐบาลและกลับเข้ามาสู่อำนาจรัฐอีกครั้ง
มันจึงเป็นยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้โดย “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ต่อกลุ่มคนที่สามารถเรียกร้องความสนใจต่อสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินของ “อำมาตย์” นักข่าว สื่อสารมวลชน อาสาสมัครการแพทย์ หรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง เป็นการแยกกันเดินแต่รวมกันตีที่ไม่ได้สนใจในชีวิตคนหรือทรัพย์สินไม่ว่าจะ เป็น “ไพร่” หรือ “อำมาตย์” แม้แต่น้อย
วาทกรรม สันติ อหิงสา ที่แกนนำคนเสื้อแดงกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ จึงกลายเป็นเพียง “ฉลาก” ที่แสดงข้อความหรือสรรพคุณที่แตกต่างไปจากสิ่งที่อยู่ภายในขวดตามที่อวดอ้าง
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่เป็น “ของจริง” ที่ยึดถือการช่วงชิงมวลชนโดยอาศัยการเมืองนำการทหารผ่านการต่อสู้ด้วย อุดมการณ์ทางความคิดมากกว่าการต่อสู้ทางอาวุธ และได้ใช้เวลากว่า 30 ปีก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการเผยแพร่อุดมการณ์ของตนจนต้องล่มสลายไปในที่สุด แล้ว “ของเทียม” ที่ทำมาอย่างลวกๆ เช่น นปช.ที่ขายฝันหลากสีหลากรสชาติทั้ง “ปฏิวัติฝรั่งเศส” หรือ “การต่อสู้ชนชั้นแบบมาร์กซิสต์” ทำให้ขาดซึ่งอุดมการณ์ทางความคิดที่แท้จริงที่เห็นสอดคล้องกัน มีแต่อุดมเงินและการขาดสติ จึงลงเอยล้มเหลวจนต้องหันมาใช้ปฏิบัติการทางทหารแทนการเมืองและกลายเป็นผู้ ก่อการร้ายในที่สุด
พันธมิตรฯ เริ่มต้นชุมนุมเมื่อ 25 พ.ค. 51 โดยมีอุดมการณ์แนวคิดหลักเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเอื้อประโยชน์ ในการยกเว้นความผิดของทักษิณ ชินวัตร มวลชนที่แห่แหนมาชุมนุมจึงเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน มีอาวุธประจำกายก็คือ “มือตบ” สนับสนุนโดย แม่ยก และพ่อยก ที่หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย หาได้มีใครสามารถผูกขาดการอุปถัมภ์ได้ไม่
การต่อสู้ของพันธมิตรฯ จึงเป็นการต่อสู้ทางความคิดและในเชิงสัญลักษณ์ เหมือนดังเช่นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วโลกที่เขาทำกัน เช่น การชุมนุมประท้วงแสดงออกที่ไม่เห็นด้วยหน้าที่ทำการหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น มิได้ใช้การทหารต่อสู้ด้วยอาวุธนำการเมืองแต่อย่างใด “ความตาย” ที่เกิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ ศพแล้วศพเล่าจึงมิได้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการก่อการร้ายของพันธมิตรฯ ที่ได้จับอะไรหรือใครเป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องให้ปฏิบัติเหมือนดังเช่น ที่แกนนำคนเสื้อแดงทำกับประเทศไทยอันเป็นการแสดงความล้มเหลวในยุทธศาสตร์ที่ ไม่สามารถต่อสู้ทางการเมืองให้ได้รับชัยชนะ
ดังนั้น จึงเป็นการง่ายแต่ขาดความรับผิดชอบเพราะไม่แยกแยะผิดถูกที่จะกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ ปิดและเอาสนามบินสุวรรณภูมิ การท่องเที่ยว การเดินทางเป็นตัวประกัน เป็นพฤติกรรมของการก่อการร้าย ทั้งๆ ที่ผู้ที่กล่าวหามักจะละเลย “ความจริง” ที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิดเพราะรักษาการผู้ว่าการท่าอากาศยานในขณะนั้นเป็นผู้ สั่งปิดโดยพลการ และมิได้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพราะมิได้กำหนดสนามบินสำรองให้ แต่อย่างใด อย่าลืมว่ายังมีเครื่องบินบนอากาศที่มุ่งหน้ามาประเทศไทยอีกหลายเที่ยวบินใน เวลานั้น แล้วจะให้บินไปลงที่ใด ใครกันแน่ที่ควรจะต้องรับผิดชอบระหว่างผู้ประท้วงหน้าสนามบินกับคนสั่งปิด สนามบิน
หากการชุมนุมอยู่หน้าสนามบินโดยสงบปราศจากอาวุธจะเป็นเหตุให้ต้องปิดการ บริการสนามบินทั้งหมดดูจะเป็นการตื่นตระหนก หรือ over react เกินไปหรือไม่ “พลเมืองเข้มแข็ง” ทั้งหลายลองใช้วิจารณญาณพิจารณาดูให้รอบคอบและเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ของคนเสื้อแดงอีกครั้งแล้วจะเห็นความแตกต่างแยกแยะถูก ผิดได้ว่าใครมีพฤติการณ์ “ผู้ก่อการร้าย” อย่างน้อยเมื่อ พันธมิตรฯ “ตกใจ”แกนนำก็ไม่ไปชี้แนะให้ไปขโมยของหรือเผาตึกแต่อย่างใด
อย่าได้อาศัยการสมานฉันท์ หรือปรองดอง แล้วพูดจาแบบ “เหวงๆ” เหมือน โค-ระทมและใครอีกหลายๆ คน เลยว่าให้เลิกๆ ให้อภัยกันไปซะทั้งฝ่ายเหลืองและแดงโดยไม่แยกแยะผิดถูกชั่วดี
ทักษิณ ชินวัตรจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา เพราะความผิดฐานก่อการร้าย ของประเทศไทยนี้ ได้ถูกตราขึ้นมาใหม่โดยความริเริ่มของทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่ยังอยู่ในอำนาจคล้ายดั่งว่า หากไม่มีกฎหมายชื่อนี้แล้วจะไม่สามารถเอาผิดกับ “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่ประเทศไทยก็มีกฎหมายรองรับความผิดประเภทนี้อยู่แล้ว ในขณะที่วิธีการออกกฎหมายก็การอาศัยเหล่าเนติบริกรออกเป็นพระราชกำหนดมา แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นวิธีพิสดารที่ขาดความรอบคอบ
“ความตาย” หรือแม้แต่หยาดน้ำของคนเสื้อแดงที่ท่านมีศรัทธาโดยแท้จริงจึงเบาบางดุจดั่ง ขนนก เป็นความสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เพราะการปฏิบัติของแกนนำที่มิได้สู้เพื่อความศรัทธาในอุดมการณ์สวยหรูตามที่ กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่สู้เพื่อทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียว
หากไม่ต้องการความรุนแรงไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ทำไมจึงไม่ประณาม “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ทำไมจึงไม่เลิกชุมนุมเมื่อเกิดความรุนแรง อันเป็นสาเหตุ เป็นโล่ ให้ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” อาศัยกำบังเพื่อก่อความรุนแรงคิดร้ายต่อประเทศ และหากมาด้วยใจไม่มีใครจ้าง ทำไมจึงต้องสัญญาว่าหากชนะจะได้ปลดหนี้ ได้บ้านใหม่ ได้อื่นๆ อีกมากมาย ชีวิตดีกว่าเดิม หากไม่ใช่ทักษิณแล้วใครเป็นผู้อุปถัมภ์ เคยให้แกนนำคนเสื้อแดงชี้แจงหรือไม่ แล้วทักษิณจะอุปถัมภ์ไปทำไมหากเขาไม่ได้ประโยชน์
หลังจาก 19 พ.ค. 53 สังคมไทยได้เปลี่ยนไปจากเดิมอันเป็นผลจากการกระทำของทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกันหลังจาก 25 พ.ค. 53 ทักษิณ ชินวัตร ก็พบกับการเปลี่ยนไปสู่สภาพผู้ก่อการร้าย กรรมนั้นบางครั้งก็มาแบบติดจรวดจริงๆ เชื่อหรือไม่
เอามาแปะเพิ่มเติม กันลืม?????
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น