วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

อิสรภาพ

ก่อนอื่นลองอ่านนี่ดู http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kawaka&month=11-2008&date=01&group=67&gblog=1
อิสรภาพ ในความหมายทั่วไป หมายถึงสภาวะที่เป็นอิสระ (นั่นคือ ไม่ถูกจำกัด ไม่ถูกกักขังหรือถูกตีตรวน)
คำว่า "อิสรภาพ" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. ความเป็นใหญ่, ความเป็นไทแก่ตัว; การปกครองตนเอง,"
ตัวอย่างข้อความบางตอนจากในหนังสือ

. . . อิสรภาพเกิดไม่ได้ภายใต้การ ติดดี อิสรภาพเป็นสิ่งที่ได้มาถ้าท่านยอมรับตัว เองตามที่ท่านเป็น อิสรภาพเป็นผลพลอยได้ มันไม่ใช่เป้าหมายที่ได้มาจากการใช้ความพยายาม จากความต้องการของท่าน มันไม่ได้มาเพราะว่าท่านได้พยายามอย่างที่สุด มันเกิดขึ้นตอนที่ท่านผ่อนคลาย แล้วท่านจะผ่อนคลายได้อย่างไรถ้าท่านไม่ยอมรับความขี้ขลาดของตัวเอง? ถ้าท่านไม่ยอม รับความกลัวของตัวเอง ถ้าท่านไม่ยอมรับความรักของท่าน ถ้าท่านไม่ยอมรับความเศร้าของท่าน แล้วท่านจะผ่อนคลายได้อย่างไร?

. . . เกณฑ์ความดีบ้าๆ ทั้งหลายได้ถูกฝังไว้ในหัวผู้คน ท่านไม่พยายามเป็นตัวของตัวเอง ท่านไม่ฟังสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังพูด ข้าพเจ้ากำลังพูดว่า อะไรก็ตามที่ท่านเป็น จงยอมรับมันอย่างไม่มีเงื่อนไข การยอมรับคือกุญแจสำคัญที่นำท่านไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่

. . . การยอมรับต้องไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ ปราศจากแรงจูงใจใดๆ ทั้งสิ้น ท่านถึงจะเป็นอิสระจากมันได้ มันจะนำมาซึ่งความสุขความชื่นบานอันมหาศาล มันจะนำอิสรภาพมาให้ท่าน แต่อิสรภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาในตอนสุดท้าย การยอมรับตัวเองเป็นอีกชื่อหนึ่งของอิสรภาพ ถ้าท่านสามารถยอมรับได้อย่างแท้จริง ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าหมายถึง การยอมรับที่ว่านั้นจะเป็นอิสรภาพที่เกิดขึ้นมาอย่างทันทีทันใด

มัน ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องฝึกยอมรับตัวท่านก่อน แล้ววันหนึ่งท่านนี้ก็จะมีอิสรภาพ ไม่ใช่หรอกนะ การยอมรับตัวท่านเองนั่นแหล่ะคืออิสรภาพ เพราะที่ตรงนั้นความเจ็บปวดทางจิตใจจะมลายหายไปทันทีทันใด

ลอง ทำดูซิ สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดอยู่นี้ต้องผ่านการลองทำ ท่านสามารถทำมันได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องมาเชื่อข้าพเจ้า ท่านเคยต่อสู้กับความกลัวของท่านมาแล้ว ต่อไปนี้จงยอมรับมัน และมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่นั่งเงียบๆ ยอมรับมัน และพูดว่า ข้ามีความกลัว ดังนั้นข้าคือความกลัว ในสภาวะเช่นนั้น อิสรภาพจะค่อยๆ เผยตัว และปรากฏต่อท่านในที่สุด

ชีวิตที่สร้างสรรค์ สดใสและสุขสันต์" (น.37-40) โดยท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ตอนที่ให้ชื่อเรื่องว่า "เมื่อ จิตใจมีอิสรภาพ"
ท่านพระอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า "ประโยชน์ สุขที่สมบูรณ์จะเกิดขึ้นได้ จิตใจต้องมีอิสรภาพ" การตั้งหลักในใจ เพื่อเป็นจุดเริ่มให้ปัญญามานำจิต หรือเพื่อให้จิตเข้าสู่กระแสปัญญา อีกวิธีหนึ่ง คือการมองตามคุณ ค่า หมายความว่า เมื่อพบเห็นเจอะเจอหรือเกี่ยวข้องกับบุคคล สิ่งหรือสถานการณ์ใดๆ ก็ไม่ให้มองตามชอบใจไม่ชอบใจของตัวเรา แต่มองดูคุณโทษ ข้อดีข้อเสีย และประโยชน์ที่จะเอามาใช้ให้ได้จากสิ่งหรือบุคคลนั้น

การมองตามคุณค่าของสิ่งนั้น ก็ตรงข้ามกับการมองตามชอบใจไม่ชอบใจ หรือตามชอบชังของตัวเรา เช่นเดียวกับการมองตามเหตุปัจจัย แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ประโยชน์จากประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่เรา เกี่ยวข้องทุกอย่าง โดยเฉพาะในการที่จะเอามาพัฒนาชีวิตจิตใจของเราให้ก้าวหน้าดีงามสมบูรณ์ยิ่ง ขึ้น

ไม่ว่าพบเห็นประสบอะไร ก็หาประโยชน์หรือมองให้เห็นประโยชน์จากมันให้ได้ อย่างที่ว่า แม้แต่ได้ฟังคำเขาด่า หรือพบหนูตายข้างทาง ก็มองให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาให้ได้

การมองตามเหตุปัจจัย เป็นวิธีมองให้เห็นความจริง ส่วนการมองตามคุณค่า เป็นวิธีมองให้ได้ประโยชน์ แต่ทั้งสองวิธีเป็นการมองตามที่สิ่งนั้นเป็น ไม่ใช่มองตามความชอบความชังของตัวเรา การมองตามที่มันเป็น เป็นกระแสของปัญญา เอาปัญญาที่รู้ความจริงมานำชีวิต ส่วนการมองตามชอบใจไม่ชอบใจหรือตามชอบชังของเราเป็นกระแสของตัณหา เอาตัณหาที่ชอบชังมานำชีวิต

การมองตามเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นการมองหาความจริง เป็นการมองตามสิ่งนั้นมันเป็นของมันตามสภาวะแท้ๆ เรียกว่าขั้นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของการเข้าถึงประโยขน์สุขระดับที่สามโดยตรง ส่วนการมองตามคุณค่า ซึ่งเป็นการมองให้ได้ประโยชน์ แม้จะเป็นการมองตามที่สิ่งนั้นเป็น แต่ก็ไม่ถึงกับตามสภาวะแท้ๆ เรียกว่ายังอยู่ในขั้นที่เกี่ยวกับสมมติ เป็นวิธีปฏิบัติสำหรับประโยชน์สุขในระดับที่สอง

เป็นอันว่าใช้หลักของปัญญา นี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่จะให้ปัญญามานำชีวิต ต่อไปเราก็จะมีกระแสปัญญา กระแสความรู้เหตุปัจจัย เราก็จะดำเนินชีวิตที่ปราศจากปัญหาและจิตใจเป็นอิสระ จนกระทั่งสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติ มีความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง คงอยู่สภาพเดิมไมได้ เป็นทุกขัง ไม่มีตัวตนยั่งยืนตายตัว แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเรารู้เข้าใจอย่างนี้แล้ว สิ่งทั้งหลายที่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ โดยที่ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง แต่มันไม่ดึงหรือลากเอาจิตใจของเราเข้าไปทับกดบดขยี้ภายใต้ความผันผวนปรวน แปรของมันด้วย

เราก็ปล่อยให้ทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมดาของธรรมขาติ เป็นทุกข์ของธรรมชาติไปตามเรื่องของมัน ไม่กลายมาเป็นทุกข์หรือก่อให้เกิดทุกข์ในใจของเรา ถ้าใช้ปัญญาทำจิตใจให้เป็นอิสระถึงขั้นนี้ได้ ก็เรียกว่มาถึงประโยชน์สุขระดับสูงสุด ซึ่งเป็นระดับที่ 3

ระดับที่ 3 ได้แก่ ประโยชน์สุขที่เป็นนามธรรมด ขั้นที่เป็นโลกุตตระเป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นอิสระอยู่เหนือกระแสโลก เนื่องจากมีปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต อย่างที่ว่าอยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลก หรือไม่เปื้อนโลก เหมือนใบบัวไม่ติดน้ำ หรือไม่เปียกน้ำ เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ปรมัตถะ แปลว่า ประโยชน์สูงสุด

ผู้ที่พัฒนาปัญญาไปถึงประโยชน์สูงสุดนี้ นอกจากอยู่ในโลกโดยที่ว่าได้รับประโยชน์ขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองสมบูรณ์ แล้ว ยังไม่ถูกกระทบกระทั่ง ไม่ถูกกฎธรรมชาติเข้ามาครอบงำบีบคั้นด้วย ฉะนั้น ความทุกข์ที่มีในธรรมชาติก็มีไป แต่มันไม่มาเกิดเป็นความทุกข์ในใจเรา อนิจจังก็เป็นไปของมัน ใจเราไม่ผันผวนปรวนแปรไปด้วย จึงมาถึงขั้นที่เรียกว่าถูกโลกธรรมกระทบก็ไม่หวั่นไหว

อิสรชน คือคนที่ไม่ยุบไม่พอง

โลกธรรม ก็คือสิ่งที่มีอยู่และเกิดขึ้นเป็นประจำตามธรรมดาของโลก โดยเฉพาะเหตุการณ์ผันผวนปรวนแปรไม่แน่นอนต่างๆ ในทางดีบ้าง ร้ายบ้าง อย่างที่เราเรียกกันว่าโชคและเคราะห์ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายจะต้องประสบตามกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง มนุษย์อยู่ในโลกก็จะต้องถูกโลกธรรมกระทบกระทั่ง โลกธรรมมีอะไรบ้าง

  • 1.ได้ลาภ 2. เสื่อมลาภ
  • 3.ได้ยศ 4. เสื่อมยศ
  • 5.สรรเสริญ 6. นินทา
  • 7. สุข 8. ทุกข์

มนุษย์อยู่ในโลกนี้ จะต้องถูกสิ่งเหล่านี้กระทบกระทั่ง และถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็ถูกมันครอบงำ เป็นไปตามอิทธิพลของมัน เวลาพบฝ่ายดีที่ชอบใจ ก็ฟู เวลาเจอะฝ่ายร้ายที่ไม่ชอบใจ ก็แฟบ พอได้ก็พอง แต่พอเสียก็ยุบ

ฟู ก็คือ ตื่นเต้นดีใจ ปลาบปลื้ม ลิงโลด กระโดดโลดเต้น หรือ แม้แต่เห่อเหิมไป

แฟบ ก็คือ ห่อเหี่ยว เศร้าโศก เสียใจ ท้อแท้ หรือแม่แต่ตรอมตรม ระทบ คับแค้นใจ

พอง ก็คือ ผยอง ลำพองตน ลืมตัว มัวเมา อาจจะถึงกับดูถูกดูหมิ่น หรือใช้ทรัพย์ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้อื่น

ยุบ คือ หมดเรี่ยวแรง หมดกำลัง อาจถึงกับดูถูกตัวเอง หันเหออกจากวิถีแห่งคุณธรรม ละทิ้งความดี ตลอดจนอุดมคติที่เคยยึดถือ

ชีวิตในโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ เราต้องยอมรับความจริงว่า เราอยู่ในโลก ย่อมไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่พ้น จะต้องพบต้องเจอะเจอเกี่ยวข้องกับมัน ก็อย่างไปเอาจริงเอาจังกับมันจนถึงกับลุ่มหลงยึดเป็นของตัวเรา ควรจะมองในแง่ที่ว่าทำอย่างไรจะปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง คืออยู่ด้วยความรู้เท่าทัน

ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว เราจะปฏิบัติต่อโลกธรรมเหล่านี้ได้ดี เป็นคนที่ไม่ฟูไม่แฟบ และไม่ยุบไม่พอง และยังเอามันมาใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย

"ถ้าโชคมา ฉันจะมอบมันให้เธอ ถ้าเคราะห์มา มันคือของขวัญของฉัน"จาก หนังสือ "ชีวิตที่สร้าง สรรค์ สดใส และสุขสันต์"(น.40-46) กันต่อครับ

ท่านพระอาจารย์กล่าวไว้ว่า "ถ้า โชคมา ฉันจะมอบมันให้เป็นของขวัญแก่มวลประชา" คือถ้าโลกธรรมฝ่ายดีที่น่าปรารถนาเกิดขึน แล้วเรารู้เท่าทัน และปฏิบัติต่อมันได้ถูกต้อง โลกธรรมเหล่านั้นก็ไม่ก่อให้เกิดพิษภัยแก่เรา และแก่ใครๆ ยิ่งกว่านั้น ยังกลายเป็นเครื่องมือสำหรับทำความดีงามสร้างสรรค์ประโยชน์สุขให้เพิ่มพูน ยิ่งขึ้นอีกด้วย

วิธีปฏิบัติต่อโลกธรรมฝ่ายดี ที่สำคัญคือ

1. รู้ทันธรรมดา คือ รู้ความจริงว่า เออ ที่เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นของมีได้เป็นได้เป็นธรรมดาตามเหตุปัจจัย เมื่อมันมาก็ดีแล้ว แต่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ผันแปรได้นะ มันเกิดขึ้นได้ มันก็หมดไปเสื่อมไปได้

ยามได้ฝ่ายดีที่น่าชอบใจ จะเป็นได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุขก็ตาม เราก็ดีใจ ปลาบปลื้มใจ เรามีสิทธิ์ที่จะดีใจ แต่ก็อย่าไปมัวเมาหลงใหล ถ้าไปมัวหลงใหลแล้ว สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเหตุแห่งความเสื่อมของเรา แทนที่เราจะได้ประโยชน์กลับจะได้โทษ

ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี สุขก็ดี ที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ผันแปรได้นั้น มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ประมาท จะต้องป้องกันแก้ไขเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อม และคอยเสริมสร้างเหตุปัจจัยที่จะให้มันมั่นคงอยู่และเจริญเพิ่มพูนโดยชอบ ธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุปัจจัยสำคัญของความเสื่อม ก็คือความลุ่มหลงมัวเมา ถ้าเรามัวเมาหลงระเริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็กลับเป็นโทษ

2. เอามาทำประโยชน์ คนที่รู้จักปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ก็มองว่า เออ ตอนนี้โลกธรรมฝ่ายดีมา ก็ดีแล้ว เราจะใข้มันเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์ทำความดี เช่นพอเราได้ยศ เรารู้ทันว่า เออ สิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงหรอก มันไม่ใช่อยู่ตลอดไป เมื่อมันมาก็ดีแล้ว เราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราดีใจที่ได้มันมาทีหนึ่งแล้ว คราวนี้เราคิดว่าเราจะทำให้มันเป็นประโยชน์ เราก็ดีใจมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก พอเราดีใจแต่เราไม่หลง เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราอาจจะใช้ยศนั้นเป็นเครื่องมือหรือเป็นช่องทางในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในการสร้างสรรค์ความดีงาม ทำการสงเคราะห์ บำเพ็ญประโยชน์ ก็กลายเป็นดีไป

ข้อสำคัญคือ เมื่อเรามีลาภหรือมีทรัพย์ มียศศักดิ์เกียรติบริวารความดีและประโยชน์หรือการสร้างสรรค์ต่างๆ นั้นเราก็ทำได้มาก กลายเป็นว่าลาภและยศ เป็นเครื่องมือและเป็นเครื่องเอื้อโอกาสในการที่จะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า ขยายประโยชน์สุขให้กว้างขวางมากมายแผ่ออกไปในสังคม

นี่คือการที่เรามาช่วยสร้างสรรค์ให้โลกนี้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียก ว่า "อัพยาปัชฌโลก" คือโลกแห่งความรักความเมตตา เป็นที่ปลอดภัยไร้การเบียดเบียน และมีสันติสุข แล้วก็ทำให้ตัวเราเองได้ความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ ได้รับความเคารพนับถือที่แท้จริงด้วยประโยชน์สุขระดับที่หนึ่ง กลายเป็นบันไดก้าวขึ้นไปสู่ประโยชน์สุขระดับที่สอง

โลกธรรมอย่างอื่นก็เช่นเดียวกันทั้งนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติให้ถูก หลักสำคัญก็คืออย่าไปหลงระเริงมัวเมา

ในทางตรงกันข้าม พระอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าเคราะห์มา มันคือของขวัญที่ส่งมาช่วยตัวฉันให้ยิ่งพัฒนา" ถ้าโลกธรรมฝ่ายร้ายเกิดขึ้นจะทำอย่างไร เมื่อกี้ฝ่ายดีเกิดขึ้น เราก็ถือโอกาสใช้ให้เป็นประโยชน์ ทำการสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์สุขแผ่ขยายออกไปมากยิ่งขึ้น

ทีนี้ ถึงแม้ว่าฝ่ายร้ายเกิดขึ้น คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกติฉินนินทา และประสบทุกข์ คนมีปัญญารู้เท่าทัน ก็ไม่กลัว ไม่เป็นไร เขาก็รักษาตัวอยู่ได้ และยังหาประโยชน์ได้อีกด้วยคือ

1. รู้ทันธรรมดา คือรู้ความจริงว่า สิ่งทั้งหลาย ก็อย่างนี้เอง ล้วนแต่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ย่อมผันแปรไปได้ทั้งสิ้น นี่แหละที่ว่าอนิจจัง เราก็ได้เจอกับมันแล้ว เมื่อมีได้ ก็หมดได้ เมื่อขึ้นได้ ก็ตกได้ แต่เมื่อหมดแล้วก็มีได้อีก เมื่อตกแล้ว ก็อาจขึ้นได้อีก ไม่แน่นอน มันขึ้นต่อเหตุปัจจัย

ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า มันเป็นการมีการได้และเป็นการขึ้น ที่ดีงามชอบธรรม เป็นประโยชน์หรือไม่ และเป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษาหาเหตุปัจจัย และทำให้ถูกต้องต่อไป

เพราะฉะนั้น อย่ามัวมาตรอมตรมทุกข์ระทมเหงาหงอย อย่ามัวเศร้าเสียใจไปเลย จะกลายเป็นการซ้ำเติมทับถมตัวเองหนักลงไปอีก และคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยเราก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่เรื่องธรรมดาของโลกธรรมเป็น อย่างนี้ เราก็ได้เห็นความจริงแล้ว เรารู้เท่าทันมันแล้ว เวลามาศึกษาหาเหตุปัจจัย จะได้เรียนรู้ จะได้แก้ไขปรับปรุง ลุกขึ้นมาทำให้ฟื้นตัวขึ้นใหม่ดีกว่า

เมื่อรู้เท่าทัน อยู่กับความจริงอย่างนี้ เราก็รักษาตัวรักษาใจให้เป็นปกติ ปลอดโปร่งผ่องใสอยู่ได้ ไม่ฟุบแฟบทำลายหรือทำร้ายตนเองให้ยิ่งแย่ลงไป

2. เอามาพัฒนาตัวเรา คนที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อความเสื่อมความสูญเสีย และโลกธรรมฝ่ายร้ายทั้งหลายเกิดขึ้นแก่ตน นอกจากรู้เท่าทันธรรมดา มองเห็นความจริงของโลกและชีวิตที่เป็นอนิจจังแล้ว เขายังเอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ท่านพระอาจารย์ได้บรรยายโดยรวมความว่า คนที่ดำเนินชีวิตเป็น จะใช้ประโยชน์จากโลกธรรมฝ่ายร้ายได้ ทั้งในแง่เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ และเป็นเครื่องพัฒนาปัญญา คือทดสอบว่าเรามีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง แม้จะเผชิญเคราะห์ร้ายหรือเกิดมีภัย ก็ดำรงรักษาตัวให้ผ่านพ้นไปได้ ไม่หวั่นไหว และใช้ปัญญาเรียนรู้สืบค้นเหตุปัจจัย เพื่อจะได้แก้ไขและสร้างสรรค์เดินหน้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้นต่อไป ยิ่งกว่านั้น เขาจะมองในแง่ดีว่า คนที่ผ่านทุกข์ผ่านภัยมามากเมื่อผ่านไปได้ ก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง คนที่ผ่านมาได้ ถือว่าได้เปรียบคนอื่นที่ไม่เคยผ่าน

เป็นอันว่า ถ้ามองในแง่ที่ดีงามแล้ว เราก็ใช้ประโยชน์จากโลกธรรมทั้งที่ดีและร้ายได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็เป็นคนชนิดที่ว่า ไม่ เหลิงในสุข ไม่ถูกทุกข์ทับถม

ฉะนั้น ถ้าเราจะต้องเผชิญกับโลกธรรมที่ไม่ชอบใจ ก็ต้องมีใจพร้อมที่จะรับมือและสู้มัน ถ้าปฏิบัติต่อมันได้ถูกต้อง เราก็จะผ่านสถานการณ์ไปด้วยดี และเป็นประโยชน์ เราจะมีความเข้มแข็ง ชีวิตจะดีงามยิ่งขึ้น

ถ้าจิตถูกโลกธรรมทั้งหลายกระทบกระทั่งแล้วไม่หวั่นไหว ยังสามารถมีใจเบิกบานเกษมปลอดโปร่ง ไม่มีธุลี ไร้ความขุ่นมัวเศร้าหมองผ่องใสได้ ก็เป็นมงคลอันสูงสุด

พระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมไปตามลำดับจนมาถึงข้อนี้ คือข้อว่ามีจิตใจเป็นอิสระ อย่างที่พระสงฆ์สวดในงานพิธีมงคลทุกครั้ง ตอนที่สวดมงคลสูตร มาจบลงด้วยคาถานี้คือ

ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ

อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง

ผู้ใดถูกโลกธรรมทั้งหลาย (ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย) กระทบกระทั่งแล้ว จิตใจไม่เศร้าโศก ไม่หวั่นไหว เกษม มั่นคง ปลอดโปร่งได้ นั่นคือ มงคลอันอุดม

ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว ก็เรียกว่าเราได้ประสบประโยชน์สุขขั้นสูงสุด ชีวิตก็จะสมบูรณ์ อยู่ในโลกก็จะมีความสุขเป็นเนื้อแท้ของจิตใจ ถึงแม้ไปเจอความทุกข์เข้าก็ไม่มีปัญหา ก็สุขได้แม้แต่ในท่ามกลางความทุกข์

คนที่ทำอย่างนี้ได้จะมีลักษณะชีวิตที่พัฒนาในด้านความสุข ซึ่งทำให้เป็นคนที่มีความสุขได้ง่าย

แล้วลองอ่านนี่ดูด้วยยิ่งดี

พระไพศาล วิสาโล http://www.kanlayanatam.com /Mybookneanam/book101.pdf










.............ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วย การก้าวเดิน ตั้งแต่ตีห้าของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยเดินออกจากบ้านเพื่อเป็นการฝึกเดิน เปรียบเหมือนเด็กน้อยๆ ที่เมื่อเกิดออกมาแล้วก็ปรารถนาจะเดิน ผมฝึกเดินอยู่จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงของจังหวัดเชียงใหม่พอดี จนคิดว่าเข้มแข็งพอที่จะเดินในระยะไกลๆ ได้แล้ว หลังจากภรรยาผมทดสอบว่าเดินได้จริงๆ วันละเท่าไหร่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผมจึงได้เดินออกนอกจังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนแรกไม่มีเจตนาว่าจะออกเดินไปไหน

แต่ตอนฝึกเดินผมจะพบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ชาวบ้านจะซักถาม แล้วเมื่อผมตอบไม่ได้ ชาวบ้านจะเข้าใจผิด คิดเสมือนประหนึ่งว่าคนๆ นี้วิกลจริต หรือคนบ้าที่ไม่รู้จะไปไหน ผมจึงคิดว่าครั้งนี้ต้องมีเป้าหมายทางกายภาพด้วย จริงๆ การเดินของผมเพื่อต้องการแสวงหาเป้าหมายทางจิตใจ แต่เมื่อไม่มีเป้าหมายทางกายภาพ ทำให้บางคนวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าจะสามารถพาชีวิตรอดได้หรือไม่ เลยมีเป้าหมายว่าจะเดินกลับบ้านเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมใช้เวลาเดินจากเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ไปถึงเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ ใช้เวลาทั้งหมด ๖๖ วัน
การเดินในครั้งนี้ผมใช้เงื่อนไข

หนึ่ง คือจะไม่เดินไปหาคนที่รู้จัก หรือถ้าคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีกไปใช้ทางอื่น
สอง คือจะไม่มีสตางค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจติดตัวไปด้วย เพราะฉะนั้นในการก้าวเดินจึงรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสที่ประเสริฐสุด ที่จะได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองมีอยู่ โดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทางสังคมมาประดับประดาตกแต่ง

บทเรียนที่ได้จากการก้าวเดินจึงเป็นบทเรียนที่ผมค่อนข้างจะภูมิใจ ไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีนะครับ แต่หมายความว่าเท่าที่ตัวเองตัดสินใจทำไปนั้น คิดว่าครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

ผมอยากจะเล่าประสบการณ์สั้นๆ เพราะเวลามีจำกัด ว่าในการก้าวเดินแบบนี้ เริ่มต้นจากการที่เราเผชิญสิ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งง่ายๆ จะเป็นปัญหากับชีวิตมากขนาดนี้ เช่นกรณีอาหาร เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขออาหารจากผู้ใดผู้หนึ่งด้วยการไปบอกว่าผมหิว ผมกระหาย ผมขออาหาร ผมจะไม่ทำ เพราะฉะนั้นในการเดินจึงประสบกับปัญหาที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัส เพราะกว่าเขาจะรู้ว่าเราหิวโหยจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ก็ต้องสังเกตเอาเอง และเมื่อมีคนให้อาหารผมทาน เพียงแค่อาหารมื้อแรกที่ได้รับ ผมก็รู้เลยว่าการกินอาหารที่ผ่านมาตลอดชีวิต มันได้แต่กินอาหารอย่างเดียว ได้แต่เสพรสอาหาร แต่ไม่ได้เสพรสชาติชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง

ผมยังจำภาพได้ ตอนผมเดินจากบ้านที่เชียงใหม่ในวันแรก ผมเดินไปจนถึงเวลาบ่ายค่อนจะเย็น ตอนนั้นผมหลีกไปเดินบนถนนสายเลียบคลองชลประทาน ในเขตอำเภอสันป่าตอง ผมเดินไปจนกระทั่งร่างกายมันล้า น้ำในกระบอกน้ำก็หมด เมื่อไม่มีน้ำดื่ม ผมรู้สึกเหมือนกับจะหน้ามืดเป็นลม คอแห้ง น้ำลายขม และรู้สึกว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร เมื่อไปเห็นเพิงขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งมีม้าหินขัดวางตั้งอยู่ ตอนนั้นไม่มีร่มไม้อยู่เลยเพราะเป็นทุ่งนา ผมเลยขออนุญาตเจ้าของเพิงขายก๋วยเตี๋ยวว่า ขอนั่งตรงนี้สักหน่อยได้ไหม เขาบอกว่าได้ ผมเลยนั่งลง แล้วเขาก็มีน้ำใจเอาน้ำมาให้ผมดื่ม

เมื่อเห็นว่าผมดื่มน้ำด้วยความหิวกระหาย เขาเลยถามว่าไปไหนมายังไง เมื่อเขาทราบความเป็นมาของผมแล้ว ตอนนั้นเขาเก็บของไปเยอะแล้วเพราะว่ามันเย็นแล้ว แต่เขาบอกว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวให้ผมทาน จะทานไหม ผมก็ถามว่าจะลำบากไหม เขาบอกว่าเขาทำก๋วยเตี๋ยวขายให้คนอื่นอยู่แล้ว ไม่ลำบากหรอกที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้อีกสักชาม ผมบอกว่าถ้าไม่ลำบากและเต็มใจที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้ ผมก็จะทาน แล้วเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวให้ผม

ผมรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเขาเต็มใจทำจริงๆ เพราะมันเต็มชามเลย ทั้งเส้นก๋วยเตี๋ยว ทั้งลูกชิ้น ทั้งอะไรที่มีอยู่ เขาใส่จนมาเต็ม แล้วผมก็ได้รู้ว่าการได้ทานก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมันมหัศจรรย์และวิเศษที่สุด เพราะก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่า เพียงแค่วันแรกชีวิตผมก็กำลังจะมอดดับ จะสลายเสียแล้ว แต่พอได้ทานก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเอง สิ่งที่มันเฉาไป มันก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา

ผมพูดกับพี่คนที่ให้ก๋วยเตี๋ยวผมทานว่า พี่ได้ต่อชีวิตให้ผมอีก ชีวิตผมยังได้มีต่อไป ขอบคุณมากๆ ผมจะจำไว้ว่าการทานก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แกไม่รู้จะคุยอะไรกับผม ผมก็จากลาพี่คนนี้แล้วเดินต่อ ผมอยากเล่าว่าการทานอาหารเพียงแค่มื้อแรกก็สุดแสนจะมหัศจรรย์กับการที่มี ชีวิตอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ว่าอาหารที่เราทานเข้าไปนั้น มันมีความหมายมากกว่าที่เราเคยทานมาไม่รู้สักเท่าไหร่ และอาหารแต่ละมื้อที่ทานไปมีมิติแห่งความหมายทั้งนั้น จนผมรู้สึกเสียดายว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากินอาหารมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันมื้อ แล้ว ทำไมจึงไม่ได้ความรู้สึก ไม่ได้อารมณ์ประเภทนี้เลย

มีอยู่มื้อหนึ่งที่ประทับใจผมมาก ผมเดินไปบนถนนเพชรเกษม ในเขตอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นการเดินที่ยากมากเหนื่อยมาก ผมไม่สามารถบำเพ็ญภาวนาตามที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะบนถนนมีรถเยอะ แล้วก็ร้อน ผมเดินไปจนกระทั่งเวลาเย็นยังไม่มืด ปกติผมตั้งใจว่าถ้ามืดจะหยุดพัก แต่วันนั้นมันเดินไม่ไหวแล้ว ร่างกายบอบช้ำเต็มที เวลาเดินผมจะกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายขวาให้สัมพันธ์กัน และพยายามจะไม่คิดเรื่องอื่น แต่ตอนนั้นทำไม่ได้แล้ว หายใจเข้าเร็วออกเร็ว แต่เท้ามันเกร็งก้าวตามไม่ไหว เลยเข้าไปในวัดจันทาราม ไปเจอหลวงพ่อซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเจ้าอาวาสหรือพระลูกวัด ก็เข้าไปยกมือไหว้ท่านแล้วขออนุญาตพักในวัด ท่านเลยชี้มือให้ไปพักที่ศาลา

ผมเดินไปเจอพระอีกสามรูปนั่งอยู่ในศาลา ก็เข้าไปกราบท่านว่า ผมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อที่อยู่หน้าวัดให้เข้ามาพักที่ศาลา จะขอเข้าไปได้ไหม ท่านบอกว่าได้ แต่คงเห็นสภาพร่างกายผมแย่ ท่านเลยถามว่าเดินทางมาจากไหน ผมบอกว่าเดินมาจากเชียงใหม่ แล้วกินอยู่ยังไง ผมว่าถ้ามีคนให้กินก็ได้กิน ถ้าไม่มีก็ไม่ได้กิน แล้ววันนี้ได้กินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ท่านเลยตะโกนไปที่ศาลา ถามเด็กวัดว่ายังมีอะไรเหลืออยู่ให้โยมคนนี้กินบ้างไหม เสียงทางโน้นตอบมาว่า เทให้หมาหมดแล้ว ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเท ให้เขาดูก่อนเผื่อจะกินอะไรได้ แล้วพระก็บอกว่าโยมไปดูก่อนเถิด เผื่อว่ายังมีอะไรทานอยู่ได้บ้าง

ผมก็ไปที่ศาลา ตอนนั้นมันมีอาหารที่เทจากปิ่นโตและภาชนะบรรจุลงไปอยู่ในหม้อใบใหญ่ เขาก็บอกว่าเทหมดแล้ว ผมชะเง้อคอดู เทหมดแล้วจริงๆ แต่ว่าส่วนบนสุดมันเป็นข้าวเหนียว ไม่ใช่ข้าวเหนียวทางภาคเหนือที่กินเป็นอาหารคาว แต่เป็นข้าวเหนียวทางภาคกลางที่กินเป็นอาหารหวาน มันอยู่บนสุดและมีสภาพเป็นก้อนยังไม่ละลายไปกับข้าวเจ้าที่ผสมกับน้ำแกง ผมเลยชี้ไปว่าถ้าผมจะขอกินได้ไหม เขาบอกว่าเอาสิ ถ้ากินได้

แล้วผมก็หยิบข้าวเหนียวนั้นมา เขาถามว่าจะเอาอะไรอีกไหม ผมบอกว่าไม่เอาแล้ว เขาเลยเอาข้าวหม้อนั้นทั้งหมดมาคนๆ แล้วเทในกะละมังหรือถาดประมาณสามจุด ให้หมาซึ่งอยู่ริมศาลา ผมคิดว่าสักสิบตัวหรือมากกว่านั้นไม่แน่ใจ ผมนั่งดูหมาทานแล้วผมก็กินข้าวเหนียวที่อยู่ในมือ รู้สึกว่ารสชาติของชีวิตมันอร่อยมากที่ผมกับหมาได้กินอาหารร่วมกัน ได้มีชีวิตยืนยาวและมีความรู้สึกที่ดีๆ กับการได้เป็นเช่นนี้

ขอเล่าย้อนไปนิดนึง อาจจะไม่เป็นระบบแต่เพื่อจะโยงให้เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คือจริงๆ ผมมีความรู้สึกประทับใจกับหมามาก่อนหน้านี้แล้ว คือช่วงที่ผมเดินอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงถนนมาลัยแมน ผมเดินไปตอนมืดและนอนที่วัดศรีเฉลิมเขต อยู่ในอำเภอสองพี่น้อง ผมเข้าไปขออนุญาตเจ้าอาวาสเพื่อจะพักนอนค้างคืน ท่านก็อนุญาต เป็นที่ศาลาเหมือนกัน และตอนนั้นเวลาหัวค่ำแล้ว ปรากฏว่าที่ศาลานั้นมีหมาหลายตัวนอนอยู่ก่อน เมื่อผมเป็นคนแปลกหน้าเข้าไป มันก็เห่าเหมือนกับปฏิเสธการเข้าไปของผม ผมก็นั่งลงที่ริมศาลาแล้วพูดในใจกับหมา บอกว่าผมเดินมาไกล เหนื่อยมาก ขอที่เพียงเล็กน้อยเพื่อพักคืนนี้ ผมไม่เบียดเบียน ไม่เป็นอันตราย เราเป็นมิตรกัน ผมไม่มีอะไรเลย จะขอเป็นมิตรด้วย จะไม่ทำความรบกวน ไม่ทำความเดือนร้อนให้เขา

คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินแต่ก็เห่าพอเป็นพิธีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แล้วกลับไปนอนต่อ ผมถือว่าเท่ากับเป็นการอนุญาต ผมก็นอนอยู่ริมๆ ศาลานั้นเอง แล้วหลับไปเพราะร่างกายแย่เต็มที มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้เวลาเท่าไหร่ แต่คงดึกดื่นมากแล้ว ตอนรู้สึกตัวใหม่ๆ ยังสะลึมสะลือว่าผมอยู่ที่ไหน ชีวิตผมมายังไง แต่พอเริ่มจำความได้ว่าผมเดินมา ตอนที่รู้สึกตัวนั้นมีกลิ่นสาบๆ คาวๆ ลอยมาเข้าจมูกผม
สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีอะไรมาสะกิดสีข้าง ผมเลยเอื้อมมือไปสัมผัสดู ปรากฏว่าเป็นหมาขี้เรื้อนที่ไม่มีขนแล้ว มีแต่หนังสากๆ ผมลองจับดูปรากฏว่ามีทั้งซ้ายและขวา เลยเกิดความรู้สึกวูบหนึ่งตอนนั้นว่า อ๋อ! ผมนอนที่วัด แล้วหมาเหล่านี้ตอนหัวค่ำมันเห่ารังเกียจ ไม่ต้องการให้ผมมานอนที่ศาลานี้ พอผมรู้สึกได้ขณะนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ กับการมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไร แต่รู้สึกดีที่ว่า หนึ่งหมาต้อนรับผม เป็นมิตรแล้ว สองรู้สึกว่าชีวิตผมยังมีอยู่พอเหลือไออุ่นให้กับหมาขี้เรื้อนได้

ถ้าสมมติว่าเกิดตอนหัวค่ำนี้ผมตายลง ร่างผมคงเย็นชืด แล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรที่หมาจะมานอนด้วย เพราะฉะนั้นการที่ผมยังมีชีวิตอยู่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็ยังมีคุณค่าให้กับหมา ขี้เรื้อนเหล่านี้ ความรู้สึกตรงนั้น ทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่ดีกับการมีชีวิตอยู่และกับหมามาก ผมเอื้อมมือทั้งซ้ายทั้งขวาไปลูบมันแล้วมันก็แสดงอาการพึงพอใจ เหมือนช่วยทำให้มันรู้สึกดีขึ้น

ชั่วขณะนั้นผมนึกถึงความหมายของการภาวนาที่เราทำกันอยู่เสมอโดยปกติ แต่อาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก คือการแผ่เมตตาที่เราพูดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงมีความสุขความสุขเถิด ชั่วขณะนั้นผมไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ เลย แต่ความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือเราเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกัน และเราขอให้เขามีความสุข เมื่อผมรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมตื่นขึ้นเป็นเพราะหมาขี้เรื้อนมันเกา และเอาขาที่มันเกานั้นมากระทุ้งสีข้างผม ผมก็นอนต่อด้วยความสุข

อารมณ์ความรู้สึกอย่างเมื่อตอนนั่งกินอาหาร ที่เขาก็กินอาหารและมีความสุขด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า มันมีอะไรมากกว่าการได้กินข้าวเหนียวเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ผมจึงมีความรู้สึกว่า แม้เพียงการได้กินอาหารแต่ละมื้อแต่ละคราวในการก้าวเดินไป ก็แสนจะมหัศจรรย์ และทำให้ผมตระหนักว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมคงไม่เล่ามากไปกว่านี้ แต่เพียงยกตัวอย่างเท่านั้นว่า การได้ใช้ชีวิตในลักษณะนั้นทุกขณะที่เดิน มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพียงแค่ได้กินน้ำกินข้าวสักนิดสักหน่อยก็เป็นสิ่งที่มีความหมายกับการมี ชีวิตอยู่ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย

การได้เดินไป การได้พัก การได้นอน ได้พบปะกับคน โดยเฉพาะเมื่อเราไปในลักษณะนั้น คนที่ได้พบส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เราเคยมองข้ามทั้งนั้น เช่นขอทานริมถนน เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อผมเดินไปและบางวันหาที่นอนไม่ได้ ผมก็ได้นอนกับขอทานพิการซึ่งทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ หรือบางครั้งคนที่เราคิดว่าเขาปัญญาอ่อน

ผมประทับใจคนๆ หนึ่งมาก ผมเดินไปที่วัดหนึ่ง อยู่อำเภอเดิมบางนางบวชหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผมขอไปนอนที่วัดนี้ แล้วพระที่วัดบอกให้ไปกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อในกุฏิ ผมก็ไปรอตั้งแต่ไปถึงวัดใหม่ๆ จนกระทั่งมืดแล้ว หลวงพ่อท่านยังไม่ออกมานอกกุฏิ จนผมรู้สึกว่าท่านคงไม่ออกมาแล้ว ผมเลยไปบอกพระ ท่านบอกว่าหลวงพ่อคงจำวัดแล้วล่ะ แล้วผมจะทำยังไงล่ะเพราะมันมืดแล้ว พระท่านเลยบอกว่านอนตรงไหนได้ก็นอน

ช่วงขณะที่ผมรอหลวงพ่ออยู่ มีคนๆ หนึ่ง ผมมารู้ชื่อเขาภายหลังเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ไอ้น้อย เป็นชื่อที่เขาถูกเรียกตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาเห็นผมก็สงสาร เลยชวนไปนอนใกล้ๆ กับที่ของเขา ใกล้ๆ วิหารพระศรี ถ้าใครอยู่จังหวัดสุพรรณคงได้ยินชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ เขามีหน้าที่ดูแลปัดกวาดทำความสะอาดวิหารนี้ เขาพาผมไปบอกว่าไปนอนกับยักษ์ ผมนึกไม่ออกว่าหมายความว่าอะไร พอไปที่วิหารด้านใกล้ๆ กับพระพุทธรูป จะมีรูปพญามาร เล่าความหมายตอนที่พุทธประวัติยังเป็นพระมหาสัตว์เสด็จออกมหาภิเนกษกรม แล้วมีท้าวสุรัสวดีมารมาขัดขวาง จึงสร้างรูปพญามารขึ้น

ไอ้น้อยตีความว่าเป็นรูปยักษ์ ตรงฐานของรูปยักษ์จะมีพื้นที่ว่าง เขาก็บอกว่าให้ขออนุญาตยักษ์ ถ้ายักษ์อนุญาตก็นอนได้ เขาไปเอาธูปมาให้ผมสามดอก ผมก็เอาธูปไปจุดและคุกเข่าลงต่อหน้ารูปยักษ์ กล่าวให้น้อยได้ยินว่า ผมเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ร่างกายบอบช้ำเต็มทนแล้ว จะขออาศัยเมตตาท่านยักษ์นอนตรงนี้ พอผมพูดเสร็จ น้อยก็บอกว่าท่านยักษ์อนุญาตแล้ว นอนได้ พอผมทำท่าจะนอน เขาบอกว่ากินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กิน เขาก็ไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำพริกจากพระ แล้วเอาข้าวสารมาหุง เอาปลากระป๋องมายำ เอาน้ำพริกมาละลายกับน้ำร้อน กับเอาผักที่เขาไปเก็บมาให้ผมกิน ผมรู้สึกดีมาก

พอได้คุยกับเขา ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่มหัศจรรย์มาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ตื่นมาตอนเช้า สิ่งที่ผมทำก่อนจะออกจากวัด คือไปสอบถามให้ได้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน และมีคนเล่าให้ฟังว่า เขาไม่รู้ว่าไอ้น้อยมาจากไหน ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ มีคนไปพบเขาถูกทิ้งไว้ที่ตลาดท่าช้าง แล้วมีคนเลี้ยงวัวนำมาเลี้ยงเพื่อให้เขาช่วยเลี้ยงวัวต่ออีกทีหนึ่ง พอเขาโตขึ้นมาหน่อย ผู้ชายที่เอาเขามาเลี้ยงเพื่อเฝ้าวัวเห็นว่าเขาโตไปแล้ว เลยเอามาให้วัด วัดเลยให้เขาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็กๆ จึงเรียกไอ้น้อย และโตจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันไอ้น้อยไม่มีชื่อในสำมะโนประชากรว่าเป็นคนไทยใน ๖๐ ล้านกว่าคน เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วเขาก็ไม่มีความรู้อะไร จำได้แต่เพียงว่าเขาเป็นคนๆ หนึ่ง และผมเข้าใจว่าถ้าเขาเห็นคนที่อยู่ในสภาพเช่นผม เขาจะเกิดความรู้สึกดีๆ จึงไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง ขอน้ำพริกมาทำอาหารให้ผมกิน

นี่เป็นเรื่องที่ผมประทับใจกับคนนะครับ กับคนมีเยอะมาก ผมเดินไปที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินอยู่บนถนนเพชรเกษมเหมือนกัน มีผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน เป็นคนคอยเก็บขยะเก็บพวกขวดน้ำพลาสติกไปขาย ความที่ผมเดินไปในลักษณะที่มีร่างกายบอบช้ำ เขาเลยเข้ามาคุยกับผม พอเขารู้ว่าผมเดินมาไกลและไม่ได้กินอะไร เขาก็มีน้ำใจบอกว่าจะให้อาหารผม เขาถามว่าผมจะไปที่ร้านใกล้ๆ นั้นจะได้ไหม ผมบอกได้ ก็เลยเดินไปด้วยกัน

แต่ผมพยายามจะบอกว่าอาหารนี่ต้องซื้อไม่ใช่หรือ เขายืนยันว่าเขามีตังค์ แล้วก็พาผมไปที่ร้านอาหารตามสั่งริมถนนก่อนจะถึงอำเภอทับสะแก แล้วเขาบอกผมว่าจะทานอะไรก็สั่งเอา ผมบอกว่าก็สั่งเอาถูกที่สุด สุดท้ายเขาเลยสั่งข้าวผัดให้ผม ผมชวนเขาคุยว่าเรากินข้าวผัดชามเดียวกันไหม เขาบอกว่าไม่หรอก วันนี้เป็นวันพระ เขาถือศีลกินเจ กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เพราะข้าวผัดที่สั่งมาเป็นข้าวผัดหมู

ขณะที่ผมนั่งกิน โต๊ะที่เขานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นภรรยาก็กล่าวกับผู้ชายที่เป็นสามีว่า เขาใช้คำสุภาพมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเก็บขยะจะมีคำที่สุภาพเช่นนี้ ผู้หญิงพูดว่า พ่อ เพราะวันนี้เป็นวันพระ เราถือศีลกินเจ เลยมีบุญได้พบลุงคนนี้ ได้ให้อาหารแก แกน่าสงสาร พอผมได้ยินดังนั้น ผมเลยวางช้อนและพูดว่าเพราะวันนี้ผมเดินมาแล้วไม่มีตังค์ จึงมีบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้พบคุณทั้งสอง เป็นบุญของผมมากที่สุดที่ได้พบกับคุณที่ให้อาหารผม จากนั้นผมก็คุยอะไรเล็กๆ น้อยๆ

แต่ที่ผมประทับใจมากๆ คือก่อนผมจะจากไป ผมได้ขอที่อยู่ ขอชื่อ เขาก็ให้ชื่อมา แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีที่อยู่ที่จะส่งทางไปรษณีย์ได้ เขาก็นั่งปรึกษากัน ผู้หญิงก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ ผู้ชายก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ สุดท้ายผมเลยบอกว่าเขียนที่อยู่ให้สักที่หนึ่ง ผมจะได้ส่งจดหมายให้เขาได้ และผมขำมากเมื่อเขาเขียนที่อยู่ให้ผมสองที่ เขาบอกว่าเผื่อให้มันถึงแน่ๆ เลยให้ที่อยู่ของพ่อผู้หญิงและที่อยู่ของพ่อผู้ชายด้วย ผมขำว่าถ้าเราจ่าหน้าซองทางไปรษณีย์สองที่อยู่ เขาคงส่งให้เราไม่ถูก แต่ที่ผมประทับใจคือ คนที่ไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกประทับใจในความเป็นมนุษย์ที่แสน มหัศจรรย์

ผมได้พบอารมณ์อย่างนี้ตลอดระยะของการก้าวเดินไป รายละเอียดมีเยอะ ผมคงไม่มีเวลาที่จะนั่งคุยตรงนี้ แต่เพียงแค่ต้องการจะสื่อบอกเล่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านว่า ช่วงเวลาแห่งการก้าวเดินไป เป็นช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ของชีวิต และผมไม่เสียดายเลยว่าผมได้พยายามจะเกิดใหม่อีกครั้ง การก้าวเดินครั้งนี้มันเหมือนกับผมได้เติบโตขึ้นทางจิตใจ เป้าหมายที่ผมกำหนดไว้และผมไม่กล้าบอกใครเลย คือผมต้องการที่จะก้าวเดินให้ถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพียงแผ่นดินในทาง กายภาพ แต่ความรู้สึกลึกๆ ของผมที่เป็นพุทธบริษัท และปฏิญาณตนว่าเป็นอุบาสกคนหนึ่ง จะคิดผิดคิดถูกยังไงผมไม่แน่ใจ คือผมต้องการจะก้าวไปให้พ้นความรู้สึกเสียดาย อาลัยอาวรณ์ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ร่างกายเลือดเนื้อของผม

ผมตั้งใจไว้ว่าผมต้องการก้าวให้พ้นความรู้สึกเกลียดชังรังเกียจ และสำคัญที่สุดคือก้าวให้พ้นความกลัวที่มีอยู่ในใจ ทุกๆ ช่วงขณะแห่งก้าวไป ผมจะพยายามอย่างที่สุดที่จะเจริญสติ ผมใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องมือในการก้าวย่างทุกช่วงขณะ ยกเว้นช่วงที่เดินบนถนนที่มีรถพลุกพล่าน ไม่สามารถสำรวมจิตได้ ถ้าเป็นช่วงที่มีบรรยากาศดีๆ ก็จะทำสมาธิภาวนาไปตลอด เพราะฉะนั้นช่วงทั้งหมด เวลาที่ก้าวผ่านไป ๖๐ กว่าวัน เป็นช่วงที่ประเสริฐและผมคิดว่าเป็นช่วงที่ทำให้ผมได้ระลึกถึงที่ดีมากๆ

ผมคงไม่สามารถจะเล่าได้มาก แต่คงจะจบลงเมื่อผมไปถึงเกาะสมุยแล้ว ที่จริงผมรู้ว่าภารกิจของผมยังก้าวไม่ถึงปลายทาง แต่เนื่องจากสภาพเงื่อนไขทางสังคม ประกอบกับผู้ที่ให้ข้าวให้น้ำผมหลายๆ คนมีความรู้สึกว่า เขาอยากจะรู้ว่าผมเดินถึงไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พอผมกลับมาที่เชียงใหม่ ปรากฏว่ามีโน้ตจากการรับโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก เพราะผมจะไม่กล่าวคำเท็จเป็นอันขาด เขาถามอะไรก็จะตอบ และเมื่อเขาขอเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ให้เบอร์ ให้ชื่อภรรยาผม ก็มีโทรศัพท์ไปที่บ้านเป็นอันมาก ผมตั้งใจว่ากลับมาถึงจะเขียนจดหมายขอบคุณ พอลงมือเขียนก็ปรากฏว่าต้องเขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับ เลยคิดว่าเราน่าจะเขียนจดหมายฉบับเดียวแล้วก๊อบปี้แจกดีกว่า เลยเขียนจดหมายเล่าให้เขาฟังว่าผมเดินไปถึงไหนบ้าง

ขณะที่ผมนั่งเขียนจดหมายหรือบันทึกอยู่ ผมไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม จังหวัดเชียงใหม่ เลยทำให้ผมได้ทบทวนสิ่งที่น่าจะนำมากล่าวในที่นี้ว่าพอจะมีอะไรบ้าง ผมคิดว่ามีสองสิ่งที่ผมประสบพบว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ในการเดินครั้งนี้ คือผมพบว่า การที่ผมไม่มีเงินตราติดตัวไปเลย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความหมายของชีวิตได้โดยไม่น่าเชื่อ ทันทีที่ผมไม่มีเงิน มันเหมือนกับการที่เราหลุดออกมาอีกโลกๆ หนึ่ง ผมเข้าใจว่าความหมายของชีวิตของคนเราในปัจจุบัน ไปถูกทำให้ติดผูกพันอยู่กับเงินสูงมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเงินมันเหมือนชีวิตนี้ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการที่ผมเดินออกไปแล้วไม่มีเงินมันค่อนข้างเป็นสิ่งท้าทาย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างสนุก หมายถึงคือเป็นบทเรียนที่ดีมาก ช่วงที่ผมเดินไปหยุดที่อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาขับรถปิ๊กอัพมา และพอเห็นผมเดิน เขาเลยหยุดรถเพื่อจะถามว่าจะไปไหน เขาอาสาพาผมไปด้วย ผมชี้แจงให้เขาฟังว่าผมมีเจตนาที่จะเดิน ไม่มีเจตนาจะขึ้นรถไป เพราะการเดินเป็นเป้าหมายของผม เมื่อเขาเห็นผมพูดเช่นนั้น เขาคงมีความรู้สึกอยากคุยด้วย เลยปรารภขึ้นมาว่าเขาจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้างไหม ผมบอกว่าเพียงแค่เขาหยุดทักและถามผมก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจเดินมากแล้ว แต่เขาไม่ยอม สุดท้ายเขาขอที่จะให้อาหารผมสักมื้อ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเที่ยง เขาพาผมไปที่ใกล้ๆ แล้วสั่งอาหารให้ ก่อนที่เขาจะขับรถไป ก็เอาสตางค์ ๒๐๐ บาทมาใส่ไว้ในซอกเป้ แล้วขับรถหนีไปเลย

ผมพบว่าสตางค์ ๒๐๐ บาทนี้ มันเข้ามาเป็นตัวแทรกในชีวิตผมที่มหัศจรรย์มาก คือจากคลองขลุง ผมเดินไปขาณุฯ (อำเภอขาณุวรลักษบุรี) จากขาณุฯ ผมจะเดินข้ามถนนตัดเพื่อไปทางอำเภอลาดยาว ถัดมาอีกวัน ผมเดินไปทางอำเภอขาณุฯ ผมเดินจะไปข้ามถนนตรงสลกบาตร (ตำบล สลกบาตร) ประมาณสักเที่ยงค่อนบ่ายโมง ผมดื่มน้ำหมดไปตั้งแต่ตอนก่อนเที่ยงแล้ว ผมหิวน้ำมาก น้ำลายเหนียว ขม แล้วรู้สึกหูอื้อนิดๆ ตอนนั้นผมเดินจะข้ามถนน มันเป็นไฟเขียวสำหรับทางใหญ่ให้รถวิ่งไป ทางผมเป็นไฟแดง ผมยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหัวมุมเป็นคิวมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่สามคัน ตอนแรกเขานึกว่าผมจะไปจ้างเขายังไงไม่ทราบ เลยถามผมว่าจะไปไหน ผมบอกจะเดินไป เขาเลยไม่สนใจ แต่ตรงหัวมุมมีร้านขายของ และมีตู้แช่ขายน้ำทุกชนิด ทั้งน้ำดื่มธรรมดา น้ำอัดลม ผมเกิดความรู้สึกมองดูตู้แช่น้ำนั้นด้วยจิตใจที่แย่มากๆ ว่ามันมีความรู้สึกว่าก็เงิน ๒๐๐ บาทที่อยู่ในเป้นี้ เขาให้เรามา เราก็น่าจะเอามาซื้อน้ำดื่มได้แล้ว

ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับผมจะยอมจำนนต่อความหิวกระหาย แต่เผอิญโชคดี ไฟเขียวฝั่งผมมันขึ้นและไฟแดงฝั่งถนนใหญ่มันขึ้น รถทุกคันต้องหยุด ผมเลยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น คนขับมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าผมรีบวิ่งข้ามถนน แต่ความจริงผมรีบวิ่งหนีอารมณ์ตัวเองที่อ่อนแอมาก เพียงแค่มีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในกระเป๋า ทำให้ผมเกือบพ่ายแพ้ต่อปฏิญญาที่ตัวเองให้ไว้ เงิน ๒๐๐ บาทนี้ผมไปให้ขอทานที่อำเภอสว่างอารมณ์ เป็นเงินที่มีค่าอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นขอทานที่ให้ผมนอนด้วย สุดท้ายผมไม่มีอะไรตอบแทนเขา เลยบอกว่าเงินนี้มีคนให้ผม แต่ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ มันหนักมากจนผมแบกไว้ไม่ไหว ช่วยเอาไว้ใช้ด้วย เขาก็ไม่เข้าใจคำว่าหนักมากของผม คือผมต้องการบอกว่าเงิน ๒๐๐ นี้มันหนักหนาสาหัสบนบ่าบนไหล่บนจิตของผมเสียเหลือเกิน

ผมเข้าใจว่าเรื่องเงินตราเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ผมคงพูดเพียงเท่านี้ว่า ทันทีที่เรามีเงินหรือทันทีที่เราอยากได้เงินหรือกระหายเงิน ความหมายของชีวิตมันจะมีรสชาติที่แปรเปลี่ยนไปเลย เพราะฉะนั้นวันที่ไม่มีเงิน ผมจึงได้สัมผัสรู้ว่าชีวิตมีรสชาติ มีความหมายที่มหัศจรรย์ แต่ตรงนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะบอกว่าเงินไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความหมาย แต่คุณค่าของเงินเมื่อมาผสมกับความปรารถนาความอยากของเรา ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่งได้

เรื่องที่สองที่อยากจะกล่าวเป็นเชิงสรุปตรงนี้คือ ผมเข้าใจว่าในการเดิน มีปัญหาหนึ่งที่ผมประสบและพบ คือเรื่องเวลา เมื่อเราอยู่ในชีวิตปกติเรามีเรื่องเวลาเข้ามากำกับคุณค่าและความหมายตลอด แต่เมื่อผมก้าวเดินไปแล้ว ผมอธิษฐานขอตั้งมั่นเอาจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้น ไม่ตกไปที่อดีตหรือไม่กระสับกระส่ายกลายเป็นการปรุงแต่งเป็นไปเพื่ออนาคต และผมพยายามถือเคร่งเป็นที่สุด ถ้าไม่เกิดสภาพที่ปั่นป่วนข้างนอก เช่น บนถนนมีรถราพลุกพล่าน ผมจะไม่คิดเรื่องอื่น และถ้าสมมติว่ามีอะไรที่ตกหล่นไป ผมก็ใช้วิธีแบบพระ คือปลงอาบัติกับต้นไม้บ้างกับอะไรบ้าง

ถ้าเผลอไผลไปคิดอดีตบ้าง คิดอนาคตบ้าง การกระทำเช่นนี้ยุ่งยากอยู่ในตอนแรกๆ แต่พอทำไปสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าทำได้ และเกิดความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ที่แต่ละวันๆ ผ่านไป เรามีจิตใจเบิกบานอยู่กับการก้าวย่างทุกขณะ ทีละก้าวๆๆ และความเป็นเช่นว่านี้ มันมีความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ผมเข้าใจว่ามหัศจรรย์มาก ผมเพิ่งได้ประจักษ์แจ้งว่า จริงๆ แล้วชีวิตของเราที่มันมีปัญหามากมายสารพัด ส่วนหนึ่งเพราะเราตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการปรุงแต่งเรื่องเวลา มันทำให้สิ่งที่เป็นปัจจุบันสูญเสียคุณค่าไป เมื่อผมสามารถกลับมาสู่ความเป็นปัจจุบันได้ ทำให้ผมเข้าใจพระพุทธวจนะที่ว่า จะมีชีวิตอยู่สักร้อยปี แต่จิตใจไม่สงบนิ่ง ไม่เย็นเป็นสุข สู้มีชีวิตอยู่นาทีเดียวแต่จิตสงบนิ่งเป็นสุขไม่ได้ ผมประจักษ์แจ้งในขณะที่เดินไปนี่แหละครับ ........ที่เหลือหาอ่านกันเองนะคับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do