วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

วิบากกรรม

วิบากกรรมนั้นแม้ตัดไม่ได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ พระพุทธองค์เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม" จริงๆ การก้าวล่วงบาปกรรมนั้น ก็คือการสำนึกบาปอย่างจริงใจนั่นเอง แล้วตั้งใจมั่นว่า จะไม่ทำบาปกรรมเข่นนั้นอีก สิ่งนี้เป็นการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกไปจากจิต(ใต้สำนึก) ทำให้กรรมดำกลายเป็นกรรมขาว
พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจาก กรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "

ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แม้เจ้ากรรมนายเวรไม่ได้ให้อภัยส่วน ในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง
รับมรดกหรือผลแห่งกรรมนั้น
มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธ์
มีกรรมเป็นที่อาศัย
ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลอันนั้น
ไม่ว่าดีว่าชั่ว
จักต้องได้ผล แห่งกรรมนั้นแน่นอน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราขอบอกว่า เจตนาคือ กรรม เมื่อมีเจตนาแล้วคนเราก็ลง
มือกระทำการด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ
เรื่องกรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง ได้แบ่งตามทางที่กระทำ 3 ทาง คือ
กายกรรม ได้แก่ การกรทำทางกาย เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
วจีกรรม ได้แก่ การกระทำทางวาจา เช่น พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด และพูด เพ้อเจ้อ
มโนกรรม ได้แก่ กรรมที่เกิดจากความคิด ได้แก่ โลภ โกรธ หลง
ผลของการกระทำ เรียกว่า วิบากกรรม เช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดพืชย่อมได้ผลตามพืชที่หว่าน
หรือเปรียบเทียบรอยล้อเกวียนตามรอยเท้าโคไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดผลอย่างดีหรือเลวมนุษย์เราก็ยังเกิดความ
ต้องการหรือความทะยานขึ้นมาใหม่ จึงทำกรรมต่อไปใหม่ เป็นกระบวนการต่อเนื่อง เป็นเหตุและผล ทาง
พุทธศาสนา เรียก กรรมลิขิต เหตุที่ทำให้คนไม่ค่อยกลัวในการทำกรรมชั่วก็เพราะผลของกรรมบางที่ไม่ได้
เกิดทันที่ที่กระทำหรืออาจไม่เห็นผลทันในชาตินี้ หรือบางทีผลของกรรมเกิดขึ้นแต่เจ้าตัวไม่รู้หรือไม่
สามารถเอาไปเกี่ยวเนื่องกับกรรมที่ทำไป กรรมนี้เป็นสิ่งเฉพาะคนทางพุทธศาสนาถือว่าจะทำแทนกัน
หรือรับกรรมแทนกันไม่ได้ จะให้พระถ่ายบาปให้หลังจากทำบาปไม่ได้ ทางพุทธศาสนาให้มีการ
อโหสิกรรมกันได้ระหว่างผู้ทำกรรมไว้ต่อกัน เป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย การแผ่เมตตาแก่สัตว์โลก และ
เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขออโหสิกรรมให้แก่ผู้ทำกรรมต่อเรา และขอให้ผู้ที่เราก่อกรรมไว้ได้อโหสิกรรม
ต่อเรา จะเป็นการตัดบ่วงกรรมถึงให้ผลของกรรมยุติลง มิฉะนั้นกรรมนั้นจะหมุนเวียนต่อไปไม่รู้จบ แต่มี
กรรมบางชนิดที่จะยกโทษหรืออโหสิกรรมกันไม่ได้ที่เรียกว่า อนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด
ได้แก่ การฆ่า บิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายต่อพระพุทธองค์จนห้อพระโลหิต และยุแยงสงฆ์ให้แตกกัน
ชีวิตเราในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดเดียว ในระยะทางอันยาวไกล กรรมดี กรรมชั่ว ที่ทำไว้ แต่ละ
ชาติ แต่ละภพ มีการสะสมเก็บไว้เพื่อเกิดผล ในภายหน้าไม่มีที่สิ้นสุดและจะไม่มีการหักลบกลบหนี้กัน
ระหว่างกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ ดังนั้น สิ่งที่ทำดีไว้ยังไม่บอกผล กรรมชั่วนี้ทำมาก่อนได้แสดงผลแล้ว จึง
ทำให้มีคนพูดว่า ทำดีได้ชั่ว และในทำนองกลับกันเห็นคนบางคนเป็นคนเลวทำแต่ความชั่ว คอรัปชั่น แต่ได้
เป็นรัฐมนตรีจึงเกิดคำพูดที่ว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นสิ่งที่เรารู้เห็นกันในยุคปัจจุบันทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำชั่ว
แล้วได้ดี แต่เป็นเพราะกรรมดีเก่าให้ผลอยู่ แต่จะไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไปกรรมมีความยุติธรรมเสมอเพียงแต่
จะต้องรอเวลาและดูผลรวม
ทางศาสนาสอนไว้ว่า การทำดีแล้วได้ดีตอบนั้น ต้องพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ คือ
มีคติธรรม คือ การดำเนินชีวิตที่ดี สิ่งแวดล้อมดี
มีอุปธิสมบัติ คือ มีร่างกายสมบูรณ์ดีหนึ่ง
มีกาลสมบัติ คือ มีกาลเวลาที่ถูกต้องหนึ่ง
มีปโยคะสมบัติ คือ มีการทำดีโดยสมบูรณ์ไม่บกพร่อง
ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองทำดีไม่ได้ดี ก็พึงพิจารณาว่าตนเองมีสมบัติทั้ง 4 พร้อมแล้วหรือไม่
โดยเฉพาะกาลสมบัติ
กรรมแรกที่ทำให้คนตายแล้วเกิด เรียกว่า
ชนกกรรม ซึ่งเป็นตัวจำแนกในเกิดในภพภูมิต่าง ๆ กันและถ้าเกิดเป็นมนุษย์ชนกกรรมจะเป็นตัวทำให้เกิดแตกต่างกัน
กรรมที่มีผลต่อชีวิตข้างหน้านั้น
ครุกรรม หรือกรรมหนัก มีอำนาจเหนือกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นมีทั้งฝ่ายชั่วอย่างหนักได้แก่ทำร้ายพระอรหันต์ การฆ่าพ่อแม่ ยุแหย่สงฆ์ให้แตกกันมีแต่ตกนรกอย่างเดียว
อาสัณกรรม หรือกรรมที่ทำใกล้ตาย จะมีผลต่อการเกิดในชาติหน้าทุกศาสนาจึงให้นึกถึงพระคุณ
เจ้าฟังพระสวดมนต์ในเวลาจะสิ้นใจ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่ขณะดับยึดกับสิ่งนี้อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ได้ก็ได้ไปดี
อาจิณกรรม คือ กรรมที่กระทำสม่ำเสมอ มีอิทธิพลต่ำกว่าในการสร้างภพใหม่ซึ่งมีทั้ง กรรมดีและ
กรรมชั่ว เช่น คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยู่ทุกวัน แล้วเวลาอาสัณกรรมจะให้นึกถึงพระคงเป็นไปไม่ได้ยาก ควร
จะต้องนึกถึงสิ่งที่ทำเสมอ
กตัตตากรรม คือ กรรมเล็กน้อย เป็นผลที่มีผลน้อยที่สุด
ดังนั้นในเวลาคนที่จะสิ้นลมจึงมีความสำคัญ ต้องทำจิตใจให้กุศลเข้ามาหา นึกแต่สิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล
เพื่อให้ชนกกรรมนำไปสร้างภพสร้างชาติที่ดีต่อไป
คนที่ไปทำพิธีกรรม แก้กรรม เคยมีผู้สงสัยว่า แก้กรรมได้หรือไม่ คำตอบมีทั้งได้และไม่ได้ ที่ไม่ได้
คือ อนันตริยกรรมดังกล่าวแล้ว และคู่กรรมเขาไม่อโหสิกรรมให้แก้อย่างไรก็ไม่ได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเรา
ไม่รู้ว่าเคยทำบาปทำกรรมอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งใจแต่ทำกรรมดี และเวลาทำบุญกุศลครั้งใดก็ให้ตั้งจิตแผ่กุศล
นั้นให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณให้เขา ส่วนเขาจะอโหสิกรรมให้หรือไม่
ก็เป็นเรื่องวิบากกรรมที่เราต้องรับอยู่แล้ว
ผลของกรรม แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
1. ระดับภายในจิตใจ ร่างกายทำให้เกิดผล ภายในจิตใจ มีการสั่งสมคุณสมบัติ คือ กุศลกรรม และ
อกุศลกรรม คุณภาพและสมรรถภาพของจิต มีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิด ความโน้มเอียง ความนิยม
ชมชอบ และความสุข ความทุกข์ เป็นต้น
2. ระดับบุคลิกภาพ ทำให้เกิดผลในด้านการสร้างเสริมนิสัย ปรุงแต่งลักษณะ และความประพฤติ
การแสดงออก ท่าที การวางตน การปรับตัว การตอบสนอง การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่น และต่อ
สถานการณ์ หรือสภาพแวดล้อมทั่ว ๆ ไป
3. ระดับวิถีชีวิตของบุคคล ทำให้เกิด ความสงบ ความเจริญ ความล้มเหลว ความสำเร็จ ลาภ ยศ สุข
สรรเสริญ และความสูญเสียต่าง ๆ ที่ตรงข้าม ความเป็นไปในชีวิตของบุคคล ทำให้ประสบสิ่งที่น่าปรารถนา
และไม่น่า ปรารถนา ซึ่งรวมเรียกว่า โลกกรรมทั้งหลาย
4. ระดับสังคม มีผลต่อความเป็นไปของสังคม เช่น ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ความทุกข์ยาก
เดือนร้อน ของคนในสังคม รวมทั้งมาตรการที่ระบุกระทำสภาพแวดล้อม อื่น ๆ แล้ว ย้อนกลับมาหาตัว
มนุษย์เอง
ผลของกรรมที่ปรากฏใน จูฬกัมมวิสังคสูตร
1. สตรีหรือบุรุษที่มักทำปาณาติบาท เป็นคนเหี้ยมโหด ไร้เมตตาการุณย์ ตายไป ตกนรก ถ้าเกิด
เป็นมนุษย์จะอายุสั้น
สตรีหรือบุรุษที่ละเว้นปาณาติบาท เป็นคนมีเมตตาการุณย์ เกื้อกูลสรรพสัตว์ ตายไป ได้ขึ้น
สวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะมีอายุยืน
2. สตรีหรือบุรุษ ที่ชอบเบียดเบียนทำร้ายสัตว์ ตายไปตกนรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคน ขี้โรค
สตรีหรือบุรุษที่ไม่ชอบเบียดเบียนทำร้ายสัตว์ ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะมีสุขภาพ
ดี
3. สตรีหรือบุรุษที่ชอบโกรธ เคียดแค้นง่าย พยาบาท ตายไป ตกนรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ผิวพรรณ
จะไม่สวยงามสตรีหรือบุรุษที่ไม่โกรธ เคียดแค้นง่าย ไม่ผูกพยาบาท ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเกิด
เป็นมนุษย์จะมีรูปร่างงดงาม
4. สตรีหรือบุรุษ ที่จิตใจริษยา เห็นคนได้ลาภไม่พอใจ ตายไป ตกนรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ มี
การศึกษาน้อย ไม่ค่อยมีอำนาจสตรีหรือบุรุษที่ไม่ริษยา เห็นคนได้ลาภพึงพอใจ ตายไป ได้ขึ้น
สวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์มีเดชมีอำนาจมาก
5. สตรีหรือบุรุษไม่บำเพ็ญทาน ไม่ปันข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ตายไปตกนรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะมี
โภคะน้อยสตรีหรือบุรุษบำเพ็ญทาน ปันข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์
มีโภคะมาก
6. สตรีหรือบุรุษแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง ชอบดูถูกคน ไม่เคารพนับถือกราบไหว้ผู้ใหญ่ พระสงฆ์ ตาย
ไป ตกนรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ มีตระกูลต่ำ สตรีหรือบุรุษไม่เป็นคนแข็งกระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ดู
ถูกคน เคารพนับถือกราบไหว้ผู้ใหญ่ พระสงฆ์ ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ มีตระกูล
สูง
7. สตรีหรือบุรุษ ไม่เข้าหาไม่สอบถามสมณะ / พราหม์ ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรมีโทษ ไม่มีโทษ
อะไรควรปฏิบัติ ไม่ควรปฏิบัติ อะไรทำเกิดทุกข์ อะไรทำเพื่อประโยชน์ ตายไป ตกนรก ถ้าเกิด
เป็นมนุษย์ มีปัญญาน้อย สตรีหรือบุรุษ เข้าหาสอบถามสมณะ / พราหม์ ว่าอะไรดี อะไรชั่ว
อะไรมีโทษ ไม่มีโทษ อะไรควรปฏิบัติ ไม่ควรปฏิบัติ อะไรทำเกิดทุกข์ อะไรทำเพื่อประโยชน์
ตายไป ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนมีปัญญามาก
“วิบากกรรมย้อนมาให้ชดใช้” ทัศนะธรรมสไตล์ “แม่ชีทศพร”

"เกิดแต่กรรม" หนังสือขายดีติดอันดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว บอกเล่าชีวิต แม่ชีทศพร ชัยประคอง พิธีกรรับเชิญรายการมิติพิศวง ทางช่อง 7 สี

ซึ่งเป็นผู้ทำนายทายทักเรื่องราวแต่ชาติปางก่อนได้ 'โดนใจ' หลายๆ คน โดยเฉพาะบรรดาดารานักแสดงจำนวนมาก จึงส่งผลให้หนังสือเล่มนี้ขายดิบขายดี และก่อกระแสให้แม่ชีรูปนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ปีนี้แม่ชีทศพรเปลี่ยนนามสกุลจาก "ชัยประคอง" มาเป็น "บุญเทวาพิทักษ์" พร้อมกับได้ฤกษ์เปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด "ชีวิตบนเส้นทางธรรม" ไปแล้ว ที่ร้านบีทูเอส เซ็นทรัล เวิลด์ โดยเป็นหนังสือเล่มแรกที่แม่ชีทศพรเรียบเรียงเอง เนื้อหาภายในเล่มเกี่ยวกับการนำธรรมะมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

วันเปิดตัวหนังสือ มีดาราชื่อดังมาร่วมสนทนาธรรมหลายคน ในหัวข้อ ธรรมะช่วยชีวิตหลังผิดหวัง คือ อี๊ด วงฟลาย "บี" วัลวิภา โยคะกุล "ขวัญ" อุษามณี ไวทยานนท์ โดยมี แม่ชีทศพร คอยทำนายไขปัญหา และ ผศ.ดร.กุลธิดา ธรรมวิภัชน์ ดำเนินรายการ อยากรู้ไหมคนดังๆ สนทนาธรรมกันว่าอย่างไร

"อี้ด" บอกว่า การเข้าวัดมีอยู่สองอย่าง คือ มีความทุกข์ และไม่มีความทุกข์ ซึ่งเขาเป็นอย่างหลัง เพราะตั้งแต่เล็กก็เข้าวัดกับคุณพ่อคุณแม่มาตลอด พอโตขึ้นมาเขาก็ยังชอบเข้าวัด ฟังแล้วต้องขอมองหน้าคนพูดอีกที แต่ไม่ผิดเวทีแน่ อี๊ด เล่าต่อว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ได้เจอกับแม่ชี ท่านเข้ามาทักว่าอี๊ดเคยเกิดในยุครัชกาลที่ 5 เป็นเถ้าแก่โรงหมาก มีทาสในเรือนอยู่ 320 คน มีที่หลายร้อยไร่ เป็นคนรวยมาก ต่อมามีการเลิกทาส และสั่งเลิกกินหมาก เพราะถือว่าหมากเป็นยาเสพติด ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เพราะกระทบกับธุรกิจโดยตรง และยังไม่ยอมเลิกทาสในบ้าน แถมยังให้คนแอบไปขายหมากตอนกลางคืนอีกด้วย วิบากกรรมจึงส่งมายังชาตินี้

"แม่ชีถามผมว่าช่วงที่อาบน้ำ พอน้ำโดนตัวผมจะเกิดอาการช็อกใช่ไหม เหมือนน้ำเย็นจัด ทั้งที่น้ำก็ไม่ได้เย็น ผมต้องปิดน้ำแล้วเอาผ้ามาห่อตัวให้อุ่นถึงจะหาย เป็นเหมือนการลงแดง" ฟังนักร้องหนุ่ม เล่าชวนให้ขนลุก

ส่วนดาราสาว "บี" วัลวิภา กลับมีเรื่องตรงข้ามกับอี๊ด คือทุกข์จนต้องเข้าวัด บี เล่าว่า ครั้งแรกที่เจอกับแม่ชี คือรายการชั่วโมงพิศวง และได้ทำนายว่า "บีน่ะ เคยเกิดเป็นถึงลูกพระยา" แล้วถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชน ให้แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งโดยจัดงานใหญ่โต ปรากฏว่าเธอหนีการแต่งงาน เพราะชาติที่แล้วทำให้พ่อกับแม่ร้องไห้ ถือเป็นบาปมาก ส่งผลให้เธอไม่ประสบความสำเร็จในความรัก

"เรื่องนี้ทำให้เราหันกลับไปมองคุณพ่อคุณแม่ ว่าเคยทำให้ท่านเสียใจ แม่ชีบอกว่าทุกวันนี้ที่ร้องไห้เสียใจ นี่ยังไม่พอนะ บีสงสัยนะว่าคุณแม่รู้ได้ยังไง เพราะตลอดมาบีร้องไห้กับเรื่องของความรักมามาก" ดาราสาว เล่า พร้อมกับบอก สิ่งที่แม่ชีชี้หนทางดับทุกข์ไว้ว่า ถ้าอยากจะพ้นวิบากกรรม ให้เข้าไปหาแม่ กอดแม่ กราบเท้าแม่ ขออโหสิกรรม บีก็ฟังแต่ยังทำไม่ได้ กระทั่งถึงวันแม่ เธอทำตามนั้นและบอกแม่ว่าอะไรที่เคยทำผิดไป ขออโหสิกรรมด้วย แม่ก็อโหสิกรรมให้

ทุกคนล้วนมีวิบากกรรมคือทัศนะธรรมของแม่ชีทศพร อย่างกรณี รศ.ดร.กุลธิดา เคยคว้าตำแหน่งรองมิสคานทอง และแม่ชีก็ทักเธอว่าเป็นเพราะชาติก่อนเคยไปสึกพระ วันนี้ถึงไม่มีคู่ เจอใครก็คบกันได้ไม่ถึงพรรษา ไม่ถึงสามเดือนก็ต้องมีอันต้องเลิกกันไป

มาถึงดาราวัยรุ่น "ขวัญ" อุษามณี วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับแม่ชี และคุยกันเรื่องของชาตินี้! มากกว่าชาติก่อน!! ขวัญบอกว่าสนิทกับคุณแม่มาก ไปไหนด้วยกันตลอด แล้วความที่เป็นลูกคนเล็ก คุณแม่ก็จะคอยดูแลถือกระเป๋าถือของให้ตลอด แม่ชีเปรียบเทียบว่าเพราะอย่างนี้ขวัญถึงเหนื่อยมาตั้งแต่เด็ก รับบทละครก็จะเป็นบทหนักๆ

"แม่ชีให้หนูลองถือย่ามของแม่ชี ซึ่งหนักมาก บอกว่าก็เหมือนที่คุณแม่คอยถือกระเป๋าให้หนูนั่นแหละ" ขวัญว่า แม่ชีรู้ได้อย่างไร?!! หลายคนคงกังขา ซึ่งแม่ชีทศพรอธิบายว่าเกิดจากการปฏิบัติธรรม ถ้าใครปฏิบัติก็จะรู้ ปกติคนเรามีสัมผัสที่ 6 หรือซิกเซ้นส์ตื้นลึกแตกต่างกันไป ตามบุญทำกรรมแต่งที่มีไม่เท่ากัน บางคนอาจจะกลัวความมืด บางคนกลัวสีน้ำตาล บางคนกลัวที่สูง บางคนกลัวการอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง เป็นผลกรรมที่ติดมาตอนตายเมื่ออดีตกาล และทำให้ส่งผลมาถึงปัจจุบัน

"บางคนเมื่อเห็นหน้าบอกได้เลย แต่บางคนก็บอกไม่ได้ก็มี ต้องให้มาบวชก่อน 2-3 ครั้ง บุญถึงจะเปิดมาเป็นหน้าๆ รู้ได้เลยว่าวันลอยกระทงปีนี้ไปทำอะไรมา ความรู้อันนี้ไม่ได้อวดวิเศษ แต่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง เป็นอริยสัจสี่" แม่ชีทศพร บอก

แม่ชี กล่าวต่อว่า คนเราไม่มีใครไม่เคยทุกข์ การดำรงชีวิตแค่เราซื่อสัตย์กับตัวเอง รวมถึงการรักษาศีล บุญก็เกิดแล้ว

"เมื่อวานคือเมื่อวาน วันนี้คือวันนี้ อย่าปนกัน อย่าประมาทต่อการใช้ชีวิต ทำอย่างไรให้ใจเรามีความสุข ธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดีที่สุด" แม่ชี สรุป

หลัก "กาลามสูตร" ที่บอกว่า ต่อเมื่อใดที่รู้แจ้งธรรมด้วยปัญญาแล้ว ว่าสามารถดับทุกข์ได้จริงจึงค่อยเชื่อ น่าจะนำมาวิเคราะห์ร่วมกับสิ่งที่คนดังนั่งคุยวันนี้ได้ดี ประมาณว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง" เป็นดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do