เพราะเรามองหาเราจึงได้เจอ เพราะเราสงสัยจึงต้องค้นหา ความรู้ที่เราไม่รู้อย่างจัดเจนเพื่อเพิ่มพูนให้ชีวิตสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม แม้ไม่ใช่่แนวทางของเป้าหมายตัว(ยอมแวะสักครู่ก็ยังได้ครับ) อย่าหาสาระมากนักกับชีวิตไม่ใช่เพราะชีวิตไม่มีสาระหากแต่ชีวิตไม่ใชสิ่งแน่นอน มีองค์ประกอบเยอะต่อการดำเนินชีวิต คิดเสียว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการดำเนินชีวิตแบบตัวผมอะน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
สัปปุริสธรรม ๘ ธรรมของสัตบุรุษ( ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี)
๑. สัทธัมมสมันนาคโต ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการ คือ
ก. มีศรัทธา
ข. มีหิริ
ค. มีโอตตัปปะ
ง. เป็นพหูสูต
จ. มีความเพียรอันปรารภแล้ว
ฉ. มีสติมั่นคง
ช. มีปัญญา
๒. สัปปุริสภัตตี ภักดีสัตบุรุษ คือ คบหาสมณพราหมณ์ ท่านผู้ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการข้างต้น เป็นมิตรสหาย
๓. สัปปริสจินตี คิดอย่างสัตบุรุษ คือ จะคิดสิ่งใด ก็ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
๔. สัปปุริสมันตี ปรึกษาอย่างสัตบุรุษ คือ จะปรึกษาการใด ก็ไม่ปรึกษาเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
๕. สัปปุริสวาโจ พูดอย่างสัตบุรุษ คือ พูดแต่คำที่ถูกต้องตามวจีสุจริต ๔
๖. สัปปุริสกัมมันโต ทำอย่างสัตบุรุษ คือ ทำการที่ถูกต้องตามกายสุจริต ๔
๗. สัปปุริสทิฏฐิ มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ มีสัมมาทิฏฐิ เช่นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
๘. สัปปุริสทานัง เทติ ให้ทานอย่างสัตบุรุษ คือ ให้ตามหลักสัปปุริสทาน เช่น ให้โดยเอื้อเฟื้อทั้งแต่ของที่ตัวให้ทั้งแก่ผู้รับทาน ให้ของบริสุทธิ์ ให้โดยเข้าใจถึงผลที่จะมีตามมา เป็นต้น
บางทีเรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ เพราะนับเฉพาะสัทธรรม ๗ ในข้อ ๑
(มชฺฌิม นิกาย อุปริปณฺณาสก ๑๔/๑๔๓/๑๑๒.)
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ -
หน้าที่ 380
สปฺ ปุริสานํ ธมฺมา ได้แก่ ธรรมของสัตบุรุษ. ชนใดรู้ธรรม ใน
บรรดาสัปปุริสธรรมเหล่านั้น มีสุตตะและเคยยะเป็นต้น เพราะ
เหตุนั้น ชนนั้น ชื่อว่า ธัมมัญญู ( รู้จักเหตุ ).
ชน ใด รู้อรรถแห่งภาษิตนั้น ๆ นั่นแล เพราะเหตุนั้น ชนนั้น ชื่อ
ว่า อัตถัญญู (รู้จักผล)
ชน ใด รู้จักตน อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีประมาณเท่านี้ ด้วย ศีล
สมาธิปัญญา เพราะเหตุนั้น ชนนั้น ชื่อว่า อัตตัญญู ( รู้จักตน ).
ชน ใดรู้จักประมาณในการรับและการบริโภค เพราะเหตุนั้น ชน
นั้น ชื่อว่ามัตตัญญู (รู้จักประมาณ).
ชน ใด รู้จักกาลอย่างนี้ว่า นี้กาลแสดง นี้กาลไต่ถาม นี้กาลบรรลุ
โยคธรรม เพราะเหตุนั้น ชนนั้น ชื่อว่า กาลัญญู(รู้จักกาล). ก็
บรรดากาลเหล่านั้น กาลแสดง ๕ ปี กาลไต่ถาม ๑๐ ปี.นี้นับว่า
คับแคบยิ่งนัก. กาลแสดง ๑๐ ปี กาลไต่ถาม ๒๐ ปี. เบื้องหน้าต่อ
แต่นั้นไป บัณฑิตพึงกระทำกรรมในการประกอบเถิด.
ชน ใด รู้จักบริษัท๘ อย่าง เพราะเหตุนั้น ชนนั้น ชื่อว่า ปริสัญญู
( รู้จักบริษัท ).
ชน ใดรู้จักบุคคลที่ควรเสพหรือไม่ควรเสพ เพราะเหตุนั้น ชน
นั้น ชื่อว่า. ปุคคลัญญู( รู้จักบุคคล ).
อรรถกถาของพระสูตรนี้ อธิบายความหมายของ กาลัญญู ว่า
ชนใด รู้จักกาลอย่างนี้ว่า นี้กาลแสดง นี้กาลไต่ถาม นี้กาลบรรลุโยคธรรม
เพราะเหตุนั้น
ชนนั้น ชื่อว่า กาลัญญู(รู้จักกาล). ก็บรรดากาลเหล่านั้น กาลแสดง ๕ ปี
กาลไต่ถาม ๑๐ปี.นี้นับว่า คับแคบยิ่งนัก.
กาลแสดง ๑๐ ปี กาลไต่ถาม ๒๐ ปี. เบื้องหน้าต่อแต่นั้นไป
บัณฑิตพึงกระทำกรรมในการประกอบเถิด
แต่ ผมชอบความหมาย ดังต่อไปนี้ มากกว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 236
๔. ธัมมัญญูสูตร
[๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ
เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นธัมมัญญู รู้จักธรรม ๑ อัตถัญญู รู้จักอรรถ ๑ อัตตัญญู รู้จักตน ๑
มัตตัญญู รู้จักประมาณ ๑ กาลัญญู รู้จักกาล ๑ ปริสัญญู รู้จักบริษัท ๑
ปุ คคลโรปรัญญู รู้จักเลือกคบคน ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นธัมมัญญูอย่างไร ..............
ภิกษุเป็น กาลัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า
นี้เป็นกาล เรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร
นี้เป็นกาล หลีกออกเร้น
หากภิกษุไม่พึงรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม
นี้เป็นการประกอบความเพียร นี้เป็นการหลีกออกเร้น เราไม่พึงเรียกว่าเป็นกาลัญญู
แต่เพราะภิกษุรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม
นี้เป็นกาลประกอบ ความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น
ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นกาลัญญู ............................
ขอเชิญอ่านพระสูตรนี้ www.dhammahome.com/front/tipitaka/tipitaka_pdf/tipitaka_37.pdf
ขอให้เป็นคนดีสมปรารถนา.....ฮ่าๆๆๆๆๆ
แถมอีบุ๊คทีนี่http://www.toodoc.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-word.html
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น