วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 หรือ หลักกำหนดธรรมวินัย 8

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ

1. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัด, ความไม่ติดพัน เป็นอิสระ มิใช่เพื่อความกำหนัดย้อมใจ หรือเสริมความติดใคร่
2. วิสังโยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์ มิใช่เพื่อผูกรัด หรือประกอบทุกข์
3. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนกิเลส มิใช่เพื่อพอกพูน กิเลส
4. อัปปิจฉตา คือ ความอยากอันน้อย, ความมักน้อย มิใช่เพื่อ ความอยากอันใหญ่, ความมักใหญ่ หรือมักมากอยากใหญ่
5. สันตุฏฐี คือ ความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ
6. ปวิเวก คือ ความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่
7. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน
8. สุภรตา คือ ความเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก

ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ คือคำสอนของพระศาสดา; หมวดนี้ตรัสแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
Vin.II.259; A.IV.280. วินย.7/523/331; องฺ.อฏฺฐก.23/143/289.

คัดมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

http://www.thammapedia.com/dhamma/books/payutto/008.pdf

http://www.84000.org/

http://www.larndham.net/tipitaka/offline/

พระราชดำรัสคุณธรรม 4 ประการ


พระราชดำรัสคุณธรรม 4 ประการ

พระราชดำรัส "...คุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรักความสามัคคีที่ทำให้คนไทยเราสามารถ
ร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาได้ตลอดรอดฝั่ง
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตามุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน
ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันประสานงาน ประสานประโยชน์
กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่นและแก่ประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกาและใน
ระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายาม ทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรง
และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล
หากความคิดจิตใจและการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดีที่เจริญนี้ยังมีพร้อมมูล
อยู่ในกาย ในใจคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้....”
พระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม วันศุกร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙

“อนาคตของชาติทุกชาติย่อมขึ้นอยู่แก่เด็ก เพราะเด็กก็คือผู้ใหญ่ในเวลาข้างหน้า ถ้าบุคคลได้รับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีอยู่ในศีลธรรม เคารพต่อบทกฎหมายของบ้านเมืองเสียตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้น พลเมืองของประเทศก็จะมีแต่คนดี และประเทศจะเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ก็โดยต้องมีพลเมืองดีดั่งว่านี้”
พระราชดำรัส ในพิธีเปิดศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางและสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง
วันที่ 28 มกราคม 2495
“เยาวชนทุกคนมิได้ต้องการทำตัวให้ตกต่ำ หรือให้เป็นปัญหาแก่สังคมประการใด แท้จริงต้องการจะเป็นคนดีมีความสำเร็จ มีฐานะ มีเกียรติ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างราบรื่น แต่การที่จะบรรลุถึงความประสงค์นั้น จำเป็นต้องอาศัยผู้แนะนำ ควบคุมให้ดำเนินไปโดยถูกต้อง”
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แก่นิสิตและนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา
ณ วิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 28 พฤศจิกายน 2515
“เด็กเป็นผู้ที่ได้รับช่วงทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากผู้ใหญ่ ดังนั้นเด็กทุกคนทุกคนจึงสมควรและจำเป็นที่จะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง เหมาะสม ให้มีศรัทธามั่นคงในคุณงามความดี มีความประพฤติเรียบร้อย สุจริต และมีปัญญาฉลาดแจ่มใสในเหตุผล”
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครูและอาจารย์ 27 ตุลาคม 2516
“ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง”
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก วันที่ 18 พฤศจิกายน 2530
“ความรู้ประโยชน์แท้จริงของสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องปลูกฝังให้หยั่งลึกในตัวเด็ก เด็กจักได้เติบโตเป็นคนฉลาดเที่ยงตรง และสามารถสร้างสรรค์ประโยชน์ที่พึงประสงค์ให้แก่ตนแก่ส่วนรวมได้แน่นอนมีประสิทธิภาพ
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก วันที่ 14 มกราคม 2532
ด้านหลักคิดในการดำเนินชีวิต
“ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงาม สำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 มิถุนายน 2496
“การใช้จ่ายโดยประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดีไม่เฉพาะแกผู้ประหยัดเท่านั้น ยังจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502
“ประเพณีทั้งหลายย่อมมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของคนแต่ละคน เรามีประเพณีของชาติไทยเป็นสมบัติ เราควรยินดีอย่างยิ่งและช่วยกันส่งเสริมรักษาไว้เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ”
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 21 เมษายน 2503
“ความรู้จักอดทนและอดกลั้น ไม่ยอมตัวยอมใจให้วู่วามไปตามเหตุการณ์ตามอคติและอารมณ์ที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจนั้น ทำให้เกิดมีการยั้งคิดและธรรมดาคนเรา เมื่อยั้งคิดได้แล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะพิจารณาเรื่องที่ทำ คำที่พูด ทบทวนดูใหม่ได้อีกคำรบหนึ่ง การพิจารณาทบทวนเรื่องใดๆใหม่ ย่อมจะช่วยให้มองเห็นละเอียดชัดเจนขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจอันกระจ่างสว่างไสวขึ้น”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 14 กันยายน 2516
“การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 20 ธันวาคม 2516
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดที่เป็นอยู่แก่เราในวันนี้ ย่อมมีต้นเรื่องมาก่อน ต้นเรื่องนั้นคือเหตุ สิ่งที่ได้รับคือผล และผลที่ท่านมีความรู้อยู่ขณะนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดผลอย่างอื่นต่อไปอีก ดังนั้นที่พูดกันว่าให้พิจารณาเหตุผลให้ดีนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ให้พิจารณาการกระทำหรือ กรรมของตนให้ดีนั่นเอง”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8 กรกฎาคม 2519
“การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญและไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้วถึงแม้จะไม่มีใครร่วมมือด้วยหรือไม่ก็ตาม ผลดีที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 20 ตุลาคม 2520
“ความบังคับตนเองนั้นเกิดขึ้นได้จากความรู้สึกระลึกได้ว่า อะไรเป็นอะไรหรือเรียกสั้นๆ ว่า สติ กล่าวคือ ก่อนที่บุคคลจะทำ จะพูด หรือแม้แต่จะคิดเรื่องต่างๆ สติหรือความรู้สึกระลึกได้นั้นจะทำให้หยุดคิดว่า สิ่งที่จะทำนั้นผิดชอบชั่วดีอย่างไร จะมีผลเสียหายหรือจะเป็นประโยชน์อย่างไรต่อไปในระยะยาว”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง 7 กรกฎาคม 2520
“การดำเนินชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทนก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้วไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ
พระราชดำรัสพระราชทานแก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนจิตรลดา 27 มีนาคม 2523
“คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติ ประการแรกคือ การรักษาความสัตย์ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม”
พระราชดำรัสพระราชทานในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า 5 เมษายน 2525
“การใช้หลักวิชาหรือใช้ทฤษฎีให้เกิดประโยชน์ได้แท้จริงนั้น จะต้องใช้ให้ถูกต้อง และสอดคล้องพอเหมาะ พอดี กับความเป็นอยู่ ความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรม ตามสภาพที่เป็นจริงในภาคพื้นต่างๆ”
พระราชดำรัส ในพิธีทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณฯ 21 กรกฎาคม 2530
“ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝน อบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเองเพื่อจัดได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง”
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ ในหนังสือวันเด็ก ประจำปี 2531
“โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ฉะนั้นก่อนที่จะปักใจเชื่ออะไรลงไป ควรพิจารณาดูเหตุผลให้ถ่องแท้เสียก่อน แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสำพุทธเจ้ายังทรงแนะนำให้ใช้สติและปัญญาศึกษาค้นคว้าและไตร่ตรองให้แน่ว่า คำสั่งสอนนั้น เป็นความจริงที่เชื่อได้หรือไม่ ไม่ใช่สักแต่ว่าเชื่อเพราะว่ามีผู้รู้บัญญัติไว้”
พระราชดำรัสในพิธีทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของ 5 สถาบัน 3 ตุลาคม 2532
“อาจมีสิ่งที่มีอยู่แล้วที่จะใช้ไปได้ชั่วคราว คุณภาพอาจไม่ค่อยดีนัก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าต้องใช้อะไรที่พอใช้ได้ไป ไม่อย่างนั้นไม่มีวันที่จะมีชีวิตรอดได้”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2534
“ประเทศไทยจะสามารถพ้นวิกฤตการณ์ได้ดีกว่าหลายประเทศ เพราะแผ่นดินนี้ยังเหมาะสมกับความเป็นอยู่ได้ อย่างที่เคยพูดมาหลายปีแล้วว่า ภูมิประเทศยัง”ให้” คือความเหมาะสม แต่ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องอยู่อย่างประหยัด และต้องไปในทางที่ถูกต้อง
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2540
“การกู้เงินที่นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ได้ อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2540
“คนเราเมื่อมีความสามารถที่ดีเป็นทุนรอนอยู่ ก็จะไม่มีวันอับจน ย่อมหาทางสร้างตัวสร้างฐานะให้ก้าวหน้าได้เสมอ ข้อสำคัญในการสร้างตัวฐานะนั้น จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 18 ธันวาคม 2540
“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541
“คำว่าพอเพียงความหมายอีกอย่างหนึ่ง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541
“ให้พอเพียงก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541
“เศรษฐกิจพอเพียงนี้ให้ปฏิบัติเพียงครึ่งเดียว คือไม่ต้องทั้งหมด หรือแม้จะเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอ ได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการพัฒนามาช้านานแล้ว มาบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่ดีมาก แล้วก็เข้าใจว่าปฏิบัติเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอนั้น หมายความว่า ถ้าทำได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของประเทศก็จะพอ ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงและทำได้เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอนั้น ไม่ได้แปลว่า เศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ แต่เศษหนึ่งส่วนสี่ของการกระทำ”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541
“อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือ ระบบพอเพียง เมื่อปีที่แล้วตอนที่พูดพอเพียง แปลในใจ แล้วก็ได้พูดออกมาด้วย ว่าจะแปลเป็น SELF-SUF-FICIENCY (พึ่งตนเอง) ถึงได้บอกว่าพอเพียงแก่ตนเอง แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียงนี้กว้างขวางกว่า SELF-SUFFICIENCY คือ SELF-SUFFICIENCYนั้น หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง)”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541
“ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น”
พระราชดำรัสพระราชทานในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ครบ 50ปี
“พอมีพอกินนี่ได้พูดมาหลายปี สิบกว่าปีแล้ว ให้พอมีพอกิน แต่ว่าพอมีพอกินนี้ เป็นเพียงเริ่มต้นของเศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วบอกว่า ถ้าพอมีพอกิน คือ พอมีพอกินของตัวเองนั้นไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน สมัยหินนั้นเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่างจะเรียกว่าอำเภอ จังหวัด ประเทศ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียง จึงบอกว่าถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็จะพอแล้ว จะใช้ได้”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 23 ธันวาคม 2542
“ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกันแลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว พอเพียงในทฤษฎีหลวงนี้ คือ ให้สามารถที่จะดำเนินงานได้”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 23 ธันวาคม 2542
“ทั้งหมดนี้ พูดอย่างนี้ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง เศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ย้ำแล้วย้ำอีกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า SUFFICIENCY ECONOMY ใครต่อใครก็ต่อว่า ว่าไม่มี SUFFICIENCY ECONOMY แต่ว่าเป็นคำใหม่ของเราก็ได้ ก็หมายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช่ขี้เหนียว ทำอะไรด้วยความอะลุ้มอล่วยกัน ทำอะไรด้วยเหตุและผล จะเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแล้วทุกคนจะมีความสุขแต่พอเพียง”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2543
“การให้ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอีกด้วย กล่าวคือ ผู้ให้ก็มีความสุขมีความอิ่มเอิบใจ ผู้รับก็มีความสุข มีกำลังใจ สังคมส่วนรวมตลอดถึงประเทศชาติก็มีความผาสุก มีความร่มเย็น”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม 2545

พระราชดำรัสของในหลวง - ข้อคิดในการใช้ชีวิต
1. อย่าทำลายความหวังของใครเพราะเขาอาจ
เหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญ
อะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไป
ตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว
ๆ เท่านั้น
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่ง
อยู่ริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ ๆ เข้าไว้ แต่เติม
ความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่
จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เรื่องเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
9. ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลา
โต้ตอบ
10.ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่”สอง” แต่อย่าให้ถึง
“สาม”
11.อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มี
ความสุข ก็ลาออกซะ
12.ทำตัวให้สบายอย่าคิดมากถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาด
ตาย อะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรก
หรอก
13.ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูกแต่
ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร”คือสิ่งที่ถูก
14.เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ
“ความโหดร้าย” ในตัวคน
15.คิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนต้องมีภาระใน
การรักษาความลับ
16.เมื่อมีใครมาสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อย
ก่อน
17.เป็นคนถ่อมตัว คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกัน
มามากมาย ตั้งแต่เรายังไม่เกิด
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด...
สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
19.อย่าไปหวังเลยว่า ชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้า
มีใครมาถามเราว่า “เป็นยังไงบ้างตอนนี้” ก็บอก
เขาไปเลยว่า “สบายมาก”
21.อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมี มันก็วัน
ละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆกับที่หลุยส์ ปาสเตอร์ไม
เคิลแอนเจลโล แม่ชีเทราซา ลีโอนาร์โด ดาวินชี
ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ เขา
มีนั่นเอง
22.เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดู
อดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่
ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
24.จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและ
ผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆใหม่ๆ และ
ยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมา
จากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
26.คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยาก
รู้อยากเห็น
27.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่
ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
28.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการ
มีชีวิตให้ “ยืนยาว”
29.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

พระราชดำรัส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ด้านการเมือง การปกครอง และด้านกฎหมาย
----------------------------------------
คำว่า “ดำรัส” หมายถึง คำพูด ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ได้บ่งบอกการใช้เอาไว้ว่า ถ้าเป็นคำพูดของเจ้านายใช้ว่า “พระดำรัส” หากเป็นคำพูดของ
พระมหากษัตริย์ใช้ว่า “พระราชดำรัส”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันที่พระราชทานแก่บุคคล
คณะบุคคล หรือประชาชนทั่วไป ตลอดมาที่ทรงครองราชย์นั้น มีมากมาย หลากหลายกรณี ทั้งใน
ด้านการเมือง ด้านการปกครอง และด้านกฎหมาย ซึ่งพระราชดำรัสที่ทรงแสดงให้ปรากฏแก่
ประชาชนทุกหมู่เหล่า มีความสำคัญและมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ประชาชนทุกระดับสมควรที่จะได้
น้อมนำมาปฏิบัติและเป็นแบบอย่างแก่ตนเอง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ตนเอง ครอบครัว
สังคม และประเทศชาติโดยรวม ซึ่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงแสดง
ออกนั้น โดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศชาติมีความมั่นคงปลอดภัย มีความเจริญก้าวหน้าและประชาชน
มีความผาสุข อาทิ พระราชดำรัสที่ทรงแนะนำการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์มากมาย
โดยเฉพาะการเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจช่วงปี ๒๕๓๙ ทรงชี้นำวิถีชีวิตคนไทยที่ควรปฏิบัติ คือ
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) และทฤษฎีใหม่ (New Theory) เพื่อให้คนไทยต่อสู้กับ
วิกฤติดังกล่าวได้ หรือพระราชดำรัสกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อเดือนพฤษภาคม
๒๕๓๕ ที่ทำให้เหตุการณ์วิกฤติของประเทศไทยสงบลงได้อย่างเหลือเชื่อ อีกทั้งพระราชดำรัสที่
เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายที่ทรงให้ข้อคิดแก่นักกฎหมาย และผู้ที่ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมายในเรื่อง
ที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมายนั้น ให้ธำรงรักษาและผดุงความยุติธรรมโดยเคร่งครัด รวมทั้งการทำให้
กฎหมายมีผลบังคับได้และสามารถปฏิบัติตามได้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประเทศ และ
ความผาสุขของประชาชน
ในที่นี้จึงขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบางองค์มาแสดงให้
ปรากฏต่อผู้คนทั่วไป เพื่อจะได้น้อมนำข้อคิด ข้อแนะนำต่าง ๆ ไปปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แก่ตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติโดยรวมและเป็นการสนองพระราชปณิธานที่ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
พระราชดำรัสเกี่ยวกับด้านการเมือง
พระราชดำรัส
พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๒
วันอังคารที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๑
------------------------------
ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย
ในโอกาสที่จะขึ้นปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ นี้ ข้าพเจ้าขออวยพรปีใหม่และขอส่งความ
ปรารถนาดีมายังท่านทั้งหลายอีกวาระหนึ่ง
ขอขอบใจท่าน ที่ได้แสดงน้ำใจไมตรีต่อข้าพเจ้าและพระราชินีกับลูก ๆ ทุกคน ทั้งได้ร่วมมือ
สนับสนุนในกิจทุกอย่างด้วยดีตลอดมา ทำให้เกิดกำลังใจเป็นอันมาก.
ในรอบปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ของบ้านเมืองโดยส่วนรวมกล่าวได้ว่ายังเป็นปรกติงานทั้งปวง
ยังดำเนินมาได้เรียบร้อยพอสมควร โครงการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ตลอดจนการเจริญสัมพันธไมตรี
กับมิตรประเทศเป็นมาโดยราบรื่น ทำให้บังเกิดความก้าวหน้าและเป็นคุณแก่ประเทศหลายประการ
สิ่งสำคัญที่ทางราชการได้กระทำ คือได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นที่หวังว่า
จะทำให้การปกครองประเทศเข้ารูปเข้ารอยต่อไปก็จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ท่านทั้งหลาย
ควรจะได้ใช้สิทธิ์และทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด
แต่พร้อมกันกับที่เราพยายามปฏิบัติการทุกอย่าง เพื่อสร้างความเจริญมั่นคงของประเทศ
อยู่นี้ ฝ่ายตรงข้ามก็รุกรานเราไม่หยุดยั้ง ทั้งด้วยการแทรกซึมบ่อนทำลายและด้วยการใช้กำลังรบ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายเราต้องต่อสู้ป้องกันความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศอย่างหนัก
เราทั้งหลายไม่พึงประมาทต่อเหตุการณ์ ต้องตระหนักว่าเรามีศัตรูคอยมุ่งร้าย เพราะฉะนั้น ทุกคน
จะต้องตั้งมั่นในความสามัคคีและความไม่ประมาท จะต้องใช้ปัญญา และความรอบคอบคิดอ่าน
ก่อนที่จะกระทำการทั้งปวง จะต้องร่วมกันป้องกันแก้ไขและกำจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นอันตรายต่อ
ประเทศชาติ หมั่นประกอบสัมมาอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คิดถึงประโยชน์สุขส่วนรวมของ
บ้านเมืองเป็นนิจเป็นสำคัญ
ขออานุภาพแห่งพระรัตนตรัยจงปกป้องคุ้มครองท่านทั้งหลายให้แผ้วพ้นจากภัยทุกทุก
ประการ บันดาลให้มีกำลังกาย กำลังใจ และกำลังสามัคคีอันมั่นคง ให้สามารถประกอบกรณียกิจ
ทั้งปวงตามหน้าที่ให้ลุล่วงเป็นประโยชน์ได้โดยสมบูรณ์ และสามารถดำรงความเป็นปึกแผ่นพร้อม
ทั้งความเจริญผาสุกของบ้านเมืองไว้สืบไปชั่วกาลนาน ขอทุกท่านจงประสบความสุขสิริสวัสดิ์
สำเร็จในสิ่งพึงปรารถนาตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน.
กระแสพระบรมราโชวาท
ในโอกาสที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี
นำคณะรัฐมนตรีเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันอังคาร ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๖
---------------------------------
ข้าพเจ้าขอขอบใจนายกรัฐมนตรีที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับ
เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ท่านได้มารับตำแหน่งในวาระที่วิกฤติอย่างยิ่ง และเป็นสถานการณ์ที่
ฉุกเฉิน การที่ได้รับตำแหน่งในวาระนี้จึงเป็นสิ่งที่ลำบากที่จะปฏิบัติต่อไป เพราะว่างานต่าง ๆ จะต้อง
ทำด้วยความกล้าหาญ ทำด้วยความรอบคอบ เพื่อให้สามารถนำพาประเทศชาติให้มีความมั่นคง
และมีความเจริญต่อไป
ปัญหาของสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มีแปลกประหลาดหลายอย่าง คือนอกจากงานตาม
ปรกติของประเทศชาติที่จะต้องปฏิบัติ เช่น สวัสดิภาพของประชาชน ความก้าวหน้าของประชาชน
ตามปรกติแล้ว ยังมีสถานการณ์ที่แหวกแนว และถ้าพูดถึงสถานการณ์แบ่งก็ได้เป็นสองอย่าง
แบ่งสถานการณ์เป็นทางวัตถุอย่างหนึ่ง กับสถานการณ์ทางจิตใจอีกอย่างหนึ่ง ทางวัตถุสำหรับใน
กรุงเทพนี้ นอกจากสถานการณ์ทางวัตถุที่เป็นปรกติคือสิ่งก่อสร้างขึ้นมา ซึ่งจะต้องพยายามสร้าง
ให้ดีขึ้น ยังมีสิ่งที่ถูกทำลายซึ่งจะต้องซ่อมแซม ในทางจิตใจก็เช่นเดียวกัน มีสิ่งที่จะต้องพัฒนาให้
ประชาชนมีความคิดที่ดีมีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความคิดในทางพัฒนา และอีกอย่างหนึ่งก็ต้อง
ซ่อมแซมจิตใจที่สูญลงไปด้วยเหตุการณ์ที่ได้ผ่านมาในสัปดาห์ที่แล้ว เหตุการณ์นี้ได้ทำให้มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างประหลาด เพราะว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่จะอยากให้มีการปกครองที่ถูกต้อง เพื่อให้
ทุกคนได้สามารถอยู่ในประเทศไทยด้วยความมีเกียรติ ด้วยความปลอดภัย และด้วยความภูมิใจ
แต่สภาพในปัจจุบันนี้ก็พูดอีกอย่างได้เหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ยิ่งค้านกัน คือการได้มาซึ่งสำหรับ
คนภายนอกทั่ว ๆ ไปเห็นว่าเป็นการได้มาซึ่งประชาธิปไตย โดยได้ต่อสู้ และได้เท่ากับได้ชัยชนะ
ว่ารัฐบาลนี้จะให้ประชาธิปไตย และได้แถลงแล้วก่อนอื่นว่าจะได้รัฐธรรมนูญภายใน ๖ เดือน แต่ใน
เวลาเดียวกันกลไกต่าง ๆ ของการปกครองก็อลเวงไปหมด เช่น การรักษาความสงบก็ตาม คือการ
รักษาความสะอาดทั้งทางจิตใจและทางวัตถุ แทนที่จะเป็นของทางราชการ ก็เป็นของเอกชน และ
รัฐบาลนี้ก็จะต้องมีหน้าที่ที่พิเศษ คือจะต้องทำให้ภาระต่าง ๆ กลับคืนมาสู่ตน ภาระต่าง ๆ
ของรัฐบาล ของทางราชการก็ต้องกลับมาเป็นของทางราชการ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ได้บรรลุผลถึง
จุดประสงค์ของการมีรัฐบาล ของการมีรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย คือเป็นผู้นำพาประเทศ
ไปสู่ความเจริญ หรือความดี และโดยมากตามแบบประชาธิปไตย ก็คือมีการเลือกผู้แทนของแต่ละคน
ขึ้นมาเพื่อที่จะมาปกครองประเทศ มาเป็นสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรจึงได้เลือกหรือ
ควบคุมผู้ที่จะมาเป็นคณะรัฐมนตรี ในปัจจุบันนี้คณะรัฐมนตรีตั้งขึ้นมามิใช่โดยที่ประชาชนได้เลือก
ขึ้นมา แต่โดยตั้งขึ้นมาเฉย ๆ มาทำหน้าที่ ซึ่งควรจะทำได้.
------------------------------
พระราชดำรัส
ในโอกาสที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี นำพลเอก สุจินดา คราประยูร
และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธ ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๓๐ น.
---------------------------------------
๑ คงไม่เป็นที่แปลกใจทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่าเหตุการณ์
มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และก็จะทำให้ประเทศชาติล่มจมไปได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจจะมีว่าทำไมเชิญ
พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เพราะว่าอาจจะมีผู้ที่เป็นตัวแสดง ตัวละคร
มากกว่านี้ แต่ที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน และก็ในที่สุด
การต่อสู้หรือการเผชิญหน้า กว้างขวางออกไป ถึงได้เชิญสองท่านมา
๒ การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมา
ภายหลัง ๑๐ กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่าการเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งผล
จะออกมาอย่างไรก็ตาม ก็จะเสียทั้งนั้น เพราะว่าทำให้มีความเสียหายในทางชีวิตเลือดเนื้อของคน
จำนวนมากพอสมควร แล้วก็มีความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการและส่วนบุคคล
เปน็ มูลคา่ มากมาย นอกจากนนั้ ก็มีความเสียหาย ในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ
อย่างที่จะนับคณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นด้วยเหตุผลหรือต้นตอ
อย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่า เผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่
ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็น
ประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้น
จะต้องแก้ไข โดยที่ดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ปัญหา
ที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้ มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของที่เรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการ
ดำรงตำแหน่งอะไร มันเป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยแก้ไข
๓ มีผู้ที่ส่งข้อแนะนำในการแก้ไขสถานการณ์มาหลายฉบับ หลายคนจำนวนเป็นร้อย แล้วก็ทั้ง
ในเมืองไทยทั้งต่างประเทศก็ส่งมา ที่เขาส่งมา การแก้ไข หรือการแนะนำว่า เราควรจะทำอย่างไร
ก็มีต่าง ๆ นานา ตั้งแต่ตอนแรก ก็บอกว่าให้แก้ไขด้วยวิธียุบสภา ซึ่งก็ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เป็นสภา
หมายความว่า พรรคการเมืองทั้งหมด ๑๑ พรรค ใน ๑๑ พรรคนี้ คำตอบมีมาว่า ไม่ควรยุบสภา
เป็นส่วนมาก มี ๑ รายที่บอกว่า ควรยุบสภา ฉะนั้นการที่จะแก้ไขแบบที่เขาเสนอมานั้น ก็เป็นอันว่า
ตกไป นอกจากนั้นก็มีเป็นฎีกาและแนะนำวิธีการต่าง ๆ กัน ซึ่งก็ได้พยายามเสนอไปตามปกติ
คือเวลามีฎีกาขึ้นมาก็ส่งไปให้ทางสำนักคณะรัฐมนตรี หรือสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่สามารถ
ที่จะแก้ไขตามแบบนั้น ตกลงมีแบบยุบสภา และก็มีอีกแบบหนึ่ง คือแบบแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้
ได้ตามประสงค์ที่ต้องการ หมายความถึงประสงค์เดิมที่เกิดเผชิญหน้ากัน
๔ ความจริงวิธีนี้ ถ้าจำกันได้ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ ก็ได้พูดต่อสมาคมที่มาพบจำนวน
หลายพันคน แล้วก็ดูเหมือนว่าพอจะฟังกัน ฟังกันโดยดีเพราะเหตุผลที่มีอยู่ในนั้นดูจะแก้ปัญหาได้
พอควร ตอนนี้ก็ขอย้ำว่าทำไมพูดอย่างนั้น ว่าถ้าจะ “แก้ก่อนออก” ก็ได้ หรือ “ออกแล้วแก้” ก็ได้
อันนั้นทุกคนก็ทราบดีว่าเรื่องอะไร ก็เรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งครั้งนั้นการแก้รัฐธรรมนูญก็ได้ทำมาตลอด
มากกว่าฉบับเดิมที่ได้แก้ไขไว้ แล้วก็ก่อนที่ไปพูดที่ศาลาดุสิดาลัย ก็ได้พบพลเอก สุจินดา ก็ขอ
อนุญาตเล่าให้ฟังว่า พบพลเอก สุจินดา แล้วพลเอก สุจินดา ก็เห็นด้วยว่าควรจะประกาศใช้
รัฐธรรมนูญนี้ และแก้ไขต่อไปได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำกันได้ และตอนหลังนี้ พลเอก สุจินดา ก็ได้ยืน
ยันว่าแก้ไขได้ ก็ค่อย ๆ แก้ให้เข้าระเบียบ ให้เป็นแบบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ฉะนั้นก็ได้พูดตั้ง
หลายเดือนมาแล้ว ในวิธีการที่จะแก้ไขแล้วข้อสำคัญอยู่ที่ทำไมอยากให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แม้จะ
ถือว่ารัฐธรรมนูญนี้ยังไม่ครบถ้วน ก็เพราะเหตุว่ารัฐธรรมนูญนั้น มีคุณภาพพอใช้ได้ ดีกว่าธรรมนูญ
การปกครองชั่วคราวที่ใช้มาเกือบปี เพราะเหตุว่ามีบางข้อบางมาตราซึ่งเป็นอันตรายแล้วก็ไม่ครบถ้วน
ในการที่จะใช้ปกครองประเทศ ฉะนั้นก็นึกว่าถ้าหากว่าสามารถที่จะปฏิบัติตามที่ได้พูดในวันที่ ๔
ธันวา นั้น ก็เท่ากับเป็นการกลับไปดูปัญหาแต่เดิมไม่ใช่ปัญหาวันนี้
๕ ปัญหาวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้ คือความ
ปลอดภัย และขวัญของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่า
จะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบ
มาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี
แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งกับคนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้น ว่าประเทศไทยนี้จะยังแก้ไขสถานการณ์ได้
แต่ว่ารู้สึกว่าจะเป็นความคิดที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์
อย่าง ๓ วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดลงไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้ท่านโดยเฉพาะสองท่านพลเอก สุจินดา และ
พลตรี จำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา
ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา
เพราะว่าอันตรายมีอยู่เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้
ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ
อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า
กรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัว
ว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง
๖ ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้
เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่าง ๆ คือ ไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่าง ๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้
ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากัน
ว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับมาคืนได้โดยดี อันนี้เป็น
เหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจาก
สิ่งปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมาก ว่าได้ทำดี แก้ไขอย่างไร ก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มี
ข้อสังเกตดังนี้
๗ ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่พร้อมที่จะให้คำแนะนำ
ปรึกษาหารือกันด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติเพื่อสร้างสรรค์ประเทศให้เข้าสู่ทางของความ
วัฒนา ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ.
----------------------------------
พระราชดำรัสเกี่ยวกับด้านการปกครอง
พระราชดำรัส
ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีเฝ้าฯ
ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๘
-----------------------------------------
การที่รัฐมนตรีต้องมากล่าวคำปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่นั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของ
รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความหมายว่าจะต้องตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อบริหารประเทศ
ให้มีความก้าวหน้าคงทนถาวร ทำให้ประชาชนมีความสุขความเจริญก้าวหน้าตามที่ควรที่จะเป็น.
ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นระบอบที่ควรจะเหมาะสมสำหรับการปกครองประเทศเพราะว่า
ประชาชนได้มีเสียงมีสิทธิ์ ที่จะบอกชี้นำว่าประเทศควรจะไปทางไหน. มาบัดนี้มีการเลือกตั้ง
ก็หมายความว่าประชาชนได้ชี้ว่า อยากได้อะไร. แต่ว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต
จะต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ. บางทีก็อาจไม่เป็นระบอบที่ดีเด่นที่สุดก็ได้ แต่ก็แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ.
ถ้าผู้ปฏิบัติปฏิบัติดี ก็สามารถที่จะปั้นเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยก้าวหน้าไปสู่ส่วนที่จะเป็น
เป้าหมายที่สูง คือความก้าวหน้าของประเทศด้วยความเห็นหรือความต้องการของประชาชน
ทั้งประเทศ. ฉะนั้นท่านทั้งหลายจึงมีหน้าที่สำคัญ.
ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยได้พัฒนามาเรื่อย ๆ . เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ก็จะดูพัฒนาไป
ในทางที่จะเข้ารูปเข้ารอยได้ เพราะว่ามีการเลือกตั้งมาหลายครั้งในลักษณะต่าง ๆ. ถ้าปฏิบัติ
อย่างนี้ ต่อไป และพยายามที่จะทำด้วยความสามารถ ก็จะทำให้ระบอบนี้บรรลุเป้าหมาย. ความ
สามารถนั้น ก็คือความสามารถของท่านทั้งหลาย. ความรู้ในวิชาการ ความรู้ในประสบการณ์ที่มี
เอามาใช้หมด ข้อหนึ่ง. อีกข้อหนึ่ง คือความมีจิตใจที่สุจริต มีจิตใจที่ตั้งอกตั้งใจที่จะทำให้สิ่งที่ดี
เว้นเสียจากสิ่งที่ไม่ดี. ดังนี้ ก็จะบรรลุผลตามปรารถนา. เชื่อว่าทุก ๆ ท่านก็ตั้งใจเช่นนี้.
อีกข้อหนึ่งที่น่าจะพูดก็คือ ประชาธิปไตยนี้ตามแบบ แบ่งเป็นอำนาจบริหาร อำนาจ
นิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ. ถ้าพูดอย่างนี้ อาจไม่ได้เป็นตามลำดับ. บางคนก็จะบอกว่าอำนาจ
นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ หรือบางคนก็จะบอกว่า อำนาจตุลาการ นิติบัญญัติ บริหาร หรือกลับ
ไปอีกทางก็อำนาจตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติแล้วแต่จะพูด.
ท่านทั้งหลายตามหลักที่ท่านได้ถือว่า ในรัฐธรรมนูญบอกว่า นายกต้องมาจากการ
เลือกตั้ง. ในที่นี้ก็หมายความว่า เลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร มิใช่ว่าเลือกตั้งเป็นนายก. ใน
รัฐธรรมนูญไม่มีบัญญัติไว้ ว่ามีการเลือกตั้งนายก แต่เข้าใจกันว่าต้องเลือกตั้ง. มาจากเลือกตั้ง
ก็หมายความว่าเป็นผู้แทนราษฎร. ท่านนายกก็เป็นผู้แทนราษฎร ก็เป็นอันว่าใช้ได้. รัฐมนตรีมิได้
บอกว่าต้องเป็นผู้แทนราษฎร แต่ส่วนใหญ่ท่านก็เป็นผู้แทนราษฎรก็ใช้ได้.
ปัญหาเกิดขึ้นว่า เมื่อแบ่งอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารแล้ว ท่านเป็นอะไร. ท่านเป็น
ผู้แทนราษฎร ท่านก็เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติ.
มาบัดนี้ท่านเป็นรัฐมนตรี ท่านก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่บริหาร. อันนี้ก็เลยแบ่งตัว แยกตัว ผ่าตัดตัว
เป็นนิติบัญญัติส่วนหนึ่งบริหารส่วนหนึ่งหรือ. อันนี้เป็นปัญหาที่ตอบไม่ได้ เพราะว่าค่อนข้างจะ
ทารุณที่จะเอาแต่ละท่านมาหั่นเป็นสองส่วน, ฉะนั้นอยู่ที่ใจ. ท่านจะปฏิบัติหน้าที่บริหาร ก็จะต้อง
ถือว่าท่านเป็นผู้บริหาร เป็นฝ่ายบริหารเป็นสำคัญ. ความเป็นผู้แทนราษฎรนั้น ก็ยังคงเป็นตาม
รัฐธรรมนูญ. จะเป็นปัญหาอยู่ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร. อันนี้ไม่มีคำตอบ
ฉะนั้นการที่ท่านจะปฏิบัติหน้าที่ ท่านจะต้องมีความคิด ท่านจะต้องมีความสามารถที่จะ
เลือกสิ่งที่ดีที่ชอบ. ถ้าท่านเลือกสิ่งที่ดีที่ชอบ สมัยนี้ชอบใช้คำว่าชอบธรรมจะแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ
แต่ว่าชอบพูดว่า ชอบธรรม. แปลเป็นภาษาอังกฤษ ก็แปลเองว่า ควรจะเป็นคำว่า legitimate. legit
นี่มาจากคำว่า lex แปลว่า กฎหมายถูกกฎ ชอบธรรม. หมายความว่า ท่านนะเป็นรัฐมนตรีโดย
ชอบธรรม ขอให้ท่านปฏิบัติงานโดยชอบธรรมอย่าง Legitimate อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้ง
ชอบธรรมถูกต้องตามศีลธรรม.
ถ้าทำเช่นนั้นแล้วไม่มีปัญหา หมดปัญหา. เพราะว่าทุกคนก็มีความรู้ ผ่านงานมาได้ดี
ได้ผ่านงานทั้งในด้านอาชีพต่าง ๆ และทั้งในด้านเป็นผู้แทนราษฎร มาพูดจาในสภาคนได้ยินท่าน
พูดทั่วประเทศ เพราะว่าสมัยนี้มีการถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ทุกครั้ง. คนก็ชี้ว่าคนนี้เป็นอย่างนั้น คน
นี้เป็นอย่างนี้ จำหน้าได้. พูดอะไร ดีไม่ดีอย่างไร เขาก็จำได้. คนเขาฉลาด. ฉะนั้นต่อไปนี้ขอให้ท่าน
ปฏิบัติให้ดี และทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรือง. ในการนี้ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความกล้าหาญ
มีความฉลาดเฉลียว มีความสามารถ มีความชอบธรรม มีความสุจริตในงานการทั้งปวง จึงจะเป็นผู้
ที่นำความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติ ความปลอดภัย ความสุขแก่ประชาราษฎรโดยทั่วไป.
ขอให้ทุก ๆ ท่านจงมีอนามัย ทั้งกาย ทั้งใจเข้มแข็งแข็งแรงอย่างที่สุด เพื่อให้สามารถบรรลุ
เป้าหมาย ที่ท่านควรจะมีอยู่ในใจ และขอให้ทุก ๆ ท่านได้ประสบความสำเร็จในกิจทั้งปวง
ทั้งส่วนตัว ทั้งทางราชการ.
------------------------------
พระราชดำรัส
ในโอกาสที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๑
---------------------------
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น
ตุลาการของศาล เป็นที่พึ่งที่จะเป็นศาลที่ช่วยให้ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อยได้อย่างดี.
การที่ท่านได้เปล่งคำปฏิญาณนี้ก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็มีความ
สำคัญมาก เพราะว่าท่านก็ได้เปล่งวาจาว่าจะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากสิ่งชั่ว
ทั้งปวงของชาติบ้านเมือง. ข้าเหล่านี้ก็เป็นเพียงคำพูด แต่ที่สำคัญก็เข้าใจว่า ท่านทุกคนมีความ
ตั้งใจแน่วแน่ ที่จะใช้ความรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้มา เพื่อที่จะให้กรอบรัฐธรรมนูญไทยทำงานได้
อย่างเต็มที่ โดยที่ถ้าเกิดปัญหาใด ๆ อาจสามารถที่จะแก้ไขได้. ด้วยการนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะ
ทำตามคำปฏิญาณ และนอกเหนือจากคำปฏิญาณ. จะต้องทำตามความตั้งใจที่มีในแต่ละท่าน
คือความละเอียดรอบคอบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าในสมัยปัจจุบันนี้ทำอะไรค่อนข้างจะผิวเผิน
ค่อนข้างจะเอาแต่เอาชนะ. หน้าที่ของท่านไม่ใช่เอาชนะ แต่ว่าหน้าที่ของท่านที่จะทำต่อไปนี้ ก็คือ
ให้มีความละเอียดรอบคอบในระเบียบการต่าง ๆ. ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อระเบียบงานต่าง ๆ
ที่ตั้งขึ้นมาสำหรับการปกครองประเทศ อยู่ในดุลยพินิจของท่านทั้งหลายทุกเรื่อง. ฉะนั้น การที่ท่าน
ได้มากล่าวคำปฏิญาณ ก็เข้าใจว่าทุกท่านได้ตั้งจิตที่มั่นคง เพื่อที่จะให้หน้าที่ของท่านลุล่วงไปโดย
ดีอย่างรอบคอบ และอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการปกครองและหลักวิชาทั้งหลายที่ทำให้คนเป็นคน.
ก็ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งหลาย และขอขอบใจที่ท่านมีความตั้งใจที่แน่วแน่เช่นนี้ ขอให้ท่านมี
กำลังทั้งกายทั้งใจเข้มแข็ง เพื่อที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ท่านมี เพื่อภารกิจอันสูงที่ท่านจะ
พึงปฏิบัติต่อไป และรักษาเกียรติรักษาชื่อเสียงของท่านทั้งหลาย ทั้งเป็นบุคคลและทั้งเป็นคณะ
เพื่อที่จะแสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีที่พึง.
ขอให้ท่านได้ประสบความสำเร็จ ความเจริญ ให้มีกำลังใจกำลังกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย
ไข้เจ็บต่าง ๆ มาเบียดเบียน สามารถปฏิบัติงานอันสำคัญได้โดยเต็มที่ และมีความพอใจที่ได้
ทำงานเพื่อส่วนรวม เป็นเกียรติแก่ตนเอง และประสบความสำเร็จทุกประการ.
พระราชดำรัส
พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๔๓
วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒
--------------------------------------------
ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย
บัดนี้ถึงวาระที่จะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทั้งหลาย
ทั่วกัน ทั้งขอขอบใจท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ร่วมกันจัดงานฉลองวันเกิดครบ ๖ รอบ ให้อย่างงดงาม
ยิ่งใหญ่ รวมทั้งได้แสดงไมตรีจิตความหวังดีโดยประการต่าง ๆ ทำให้เกิดกำลังใจเป็นอันมาก.
เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปีแล้ว ที่บ้านเมืองของเรามีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดทั้งใน
วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและของประชาชนทั่วไป เป็นเหตุให้เราต้องประคับประคองตัวมากขึ้น
เพื่อให้อยู่รอดและก้าวต่อไปโดยสวัสดี. ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจและเล็งเห็น
สถานการณ์ของบ้านเมืองตามเป็นจริง. เวลานี้ บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและ
การพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ. ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือการที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่
ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย. ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัวและ
ความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง. ต้องหันหน้าปรึกษากัน ด้วยความรู้คิด ด้วยความเป็นญาติ
เป็นมิตร และเป็นไทยด้วยกัน ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป
ให้ทันการณ์ทันเวลา. ผลงานของแต่ละคนแต่ละฝ่ายจักได้ประกอบส่งเสริมกันขึ้น เป็นความสำเร็จ
และความเจริญวัฒนาของประเทศชาติ.
ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านตั้งความหวัง ตั้งความเพียรอันมั่นคงไว้ ที่จะช่วยตัวช่วยชาติให้
หนักแน่นยิ่งขึ้น ทั้งด้วยการขะมักเขม้นทำงานให้เต็มกำลังความสามารถ ทั้งด้วยการดำเนินชีวิต
อย่างระมัดระวัง ให้รู้จักพอเหมาะพอประมาณ จะคิดอ่านปฏิบัติการใดให้ยึดมั่นในประโยชน์ส่วน
รวมและชาติบ้านเมืองเป็นเป้าหมายสูงสุด.
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงอภิบาล
รักษาท่านทุกคน ให้มีความสุขปราศจากทุกข์ภัยทุกเมื่อทุกสถาน บันดาลให้มีกำลังกายใจและ
ปัญญาอันกล้าแข็งพร้อมมูล ที่จะประกอบกรณียกิจน้อยใหญ่ให้บรรลุผลเลิศทุก ๆ
ด้านทั้งสามารถธำรงรักษาอธิปไตย และความเจริญร่มเย็นของบ้านเมืองให้สถิตเสถียรตลอดไป
ชั่วกาลนาน.
พระราชดำรัสเกี่ยวกับด้านกฎหมาย
กระแสพระบรมราโชวาท
พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงาน “วันรพี”
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันพุธ ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๑๖
----------------------------------
ขอแสดงความยินดีที่คณะนิติศาสตร์ได้สามารถที่ให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ และได้ทำประโยชน์
ต่อส่วนรวม ซึ่งประโยชน์นี้จะมีประโยชน์โดยตรงแก่ประชาชน และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังศึกษา
อยู่โดยตรงเป็นอย่างยิ่ง
อันกฎหมายนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับบ้านเมืองเพราะว่าหลักของการเป็นอยู่ร่วมกัน
ในชาติบ้านเมือง เพื่อให้การเป็นอยู่มีระเบียบเรียบร้อย และให้ทุกคนที่อยู่ในชาติได้สามารถที่จะมี
ชีวิตที่รุ่งเรืองโดยไม่เบียดเบียนกันหน้าที่ของผู้ที่รักษากฎหมายและผู้ที่ปฏิบัติกฎหมายก็มีหลายด้าน
ด้านแรกก็คือที่จะให้บุคคลต่าง ๆ สามารถที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย และถ้ามีเหตุใดก็ทำให้ปฏิบัติการ
ในทางกฎหมายเป็นไปโดยยุติธรรม ไม่ทำให้ผู้ใดเสียเปรียบได้เปรียบกันมากเกินไป ในด้านนี้ก็จะ
ต้องให้ประชาชนทั้งหลายมีความรู้ในข้อกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งท่านได้ทำบริการชี้แจงเรื่องกฎหมายแก่
ประชาชนอยู่แล้ว นอกจากนี้จะต้องศึกษากฎหมายให้สามารถที่จะบริการประชาชนได้ดีที่สุด คือ
ถ้ามีช่องโหว่หรือมีกฎหมายที่ไม่เหมาะสมแก่เหตุการณ์ ก็จะต้องพยายามจะศึกษาเพื่อที่จะให้ปรับปรุง
ให้ดี เราจะต้องพิจารณาในหลักว่า กฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมาย
มีไว้สำหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่
บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรี
และอยู่ได้ด้วยความสงบ บางทีเราตั้งกฎหมายขึ้นมาก็ด้วยวิชาการซึ่งได้มาจากต่างประเทศ เพราะ
ว่าวิชากฎหมายนี้ก็เป็นวิชาที่กว้างขวาง จึงต้องมีหลักอะไรอย่างหนึ่ง แต่วิชาการนั้นอาจไม่เหมาะสม
กับสถานการณ์หรือท้องที่ของเราอย่างที่เคยยกตัวอย่างมาเกี่ยวข้องกับที่ดิน เกี่ยวข้องกับการทำ
มาหากินของประชาชนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งเราเอากฎหมายไปบังคับประชาชนเหล่านั้นก็ไม่ได้ เพราะ
ว่าเป็นความผิดของเราเอง เพราะการปกครองไม่ถึงประชาชนที่อยู่ห่างไกล จึงไม่สามารถที่จะ
ทราบถึงกฎหมาย ความบกพร่องก็อยู่ทางฝ่ายที่บังคับกฎหมายมากกว่าฝ่ายที่จะถูกบังคับ ข้อนี้
ควรจะถือเป็นหลักเหมือนกัน ฉะนั้น ต้องหาวิธีที่จะปฏิบัติกฎหมายให้ถูกต้องตามหลักของธรรมชาติ
มีข้อกฎหมายเฉพาะอย่างหนึ่งที่ได้เคยประสบ อันนี้ก็เป็นกรณีเฉพาะ แต่ก็ขอมาเล่าให้ฟัง และถือว่า
เป็นข้ออย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาอย่างยิ่ง ก็เกี่ยวข้องกับที่ดินอีก และเกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่ห่างไกล เช่น
ในป่าสงวนซึ่งทางราชการได้ขีดเส้นไว้ว่าเป็นป่าสงวนหรือป่าจำแนก แต่ว่าเราขีดเส้นไว้ ประชาชน
ก็มีอยู่ในนั้นแล้ว เราจะเอากฎหมายป่าสงวนไปบังคับคนที่อยู่ในป่าที่ยังไม่ได้สงวน แล้วเพิ่งไป
สงวนทีหลังโดยขีดเส้นบนเศษกระดาษก็ดูชอบกลอยู่ แต่มีปัญหาเกิดขึ้น ที่เมื่อขีดเส้นแล้ว ประชาชน
ที่อยู่ในนั้นก็กลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายไป ถ้าดูในทางกฎหมายเขาก็ฝ่าฝืน เพราะว่าตรามาเป็น
กฎหมายโดยชอบธรรม แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติใครเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย ก็ผู้ที่ขีดเส้นนั่นเอง เพราะ
ว่าบุคคลที่อยู่ในป่านั้นเขาอยู่ก่อน เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์ หมายความว่าทางราชการบุกรุก
บุคคล ไม่ใช่บุคคลบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง ข้อนี้ก็เป็นปัญหาและเกิดวุ่นวายขึ้นมาหลายครั้ง เมื่อ
ได้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกในป่าสงวน และข้อนี้ก็เคยพูดมาแล้ว อาจฉงนว่าทำไมมาพูดอีก ก็เพราะว่า
มีความคิดไปอีกขั้นหนึ่ง บุคคลเหล่านั้นผิดกฎหมายบ้านเมือง เมื่อป่าสงวนนั้นทางราชการเปิดให้
เป็นป่าเปิด จับจองได้ แต่บุคคลที่อยู่ในนั้นกลับเป็นผู้บุกรุกที่เจ้าของ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อยู่
เพราะว่าเมื่อเปิดแล้ว ผู้ที่อยู่ในป่าและปฏิบัติดำเนินชีวิตอย่างธรรมดาควรจะมีสิทธิ์ในที่นั้น แต่
กลับมาเป็นผู้บุกรุก บุกรุกที่ดินที่มีเจ้าของนี่ก็เพราะเหตุว่าเมื่อป่าสงวนนั้นเปิดออกมาเป็นป่าเปิด
ก็มีผู้ไปจับจองทำกิน ผู้ที่ไปจับจองก็ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไปที่อำเภอแล้วก็ไปขอจอง ผู้ที่
เป็นเจ้าของที่ไปจับจองไว้ก็ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไปขับไล่คนที่อยู่ในนั้น คนที่อยู่ในนั้นเดิมก็กลับ
เป็นจำเลยอีก เป็นจำเลยในกรณีบุกรุกที่ของคนอื่น อันนี้เห็นว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง และกฎหมายที่
มีอยู่เรื่องการจองที่ก็มีว่า ทุกคนสามารถที่จะไปจองที่ที่ว่างเปล่าหรือที่ว่างเปล่าที่ไม่หวงห้าม แต่ว่า
ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เรื่องนี้ก็พยายามที่จะบอกให้เจ้าหน้าที่ทราบ หมายถึงเจ้าหน้าที่ปกครองว่า
น่าจะมีทางหนึ่ง ถ้าเราเปิดป่าที่เป็นป่าสงวนหรือป่าจำแนก ป่าอะไรที่ไม่ให้ประชาชนเข้าไป ควรที่
จะห้ามไม่ให้จับจอง หรือห้ามไม่ให้จับจองเป็นระยะเวลา ๑ ปี มีกำหนดบ้าง นี่ก็เป็นเพราะกฎหมาย
ซึ่งต้องปรับปรุง ถ้าเราทำเช่นนั้นก็สามารถที่จะป้องกันไม่ให้พวกที่ไปจดชื่อเอาไว้จัดการเปิดคล้าย ๆ
ไปตั้งคิดอยู่ก่อนที่จะเปิด ผู้ที่ไปจับจองในลักษณะนั้นโดยมากก็รู้ล่วงหน้า ซึ่งก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว
รู้ล่วงหน้าว่าจะเปิดป่านั้นไม่ให้เป็นป่าสงวน ก็ไปเซ็นชื่อหรือไปจองที่จะจอง ควรจะห้ามไม่ให้เป็น
เช่นนั้น แล้วก็ถ้าเปิดออกมาก็น่าจะเป็นที่ที่ทางราชการหรือทางจังหวัด ขั้นจังหวัดก็ได้เป็นผู้ที่จะ
จัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนที่ไม่มีที่ดินอยู่ หรือแก่ประชาชนที่อยู่ในนั้นแล้ว แล้วจัดสรรที่ดินให้ทำ
มาหากินโดยสุจริต จะแก้ปัญหาความวุ่นวาย แม้ปัญหาก่อการร้ายก็จะขจัดไปด้วย ฉะนั้น ก็ต้องมี
การวิจัยหรือมีการแก้ไขกฎหมายบางส่วน ซึ่งอาจบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของคณะนิติศาสตร์ที่จะแก้ไข
กฎหมายว่าถูกต้อง ต้องเป็นเรื่องของทางสภานิติบัญญัติที่จะแก้กฎหมาย แต่ว่าถ้าสภานิติบัญญัติ
ซึ่งถ้าตามปรกติจะประกอบด้วยผู้แทนราษฎร ผู้แทนราษฎรนั้นอาจมีนักกฎหมายบ้าง แต่ส่วนมาก
ก็เป็นผู้ที่เป็นผู้แทนราษฎรอาชีพคือเป็นผู้ที่ไปลงหาเสียง แล้วก็ไปเข้าในสภาสังกัดพรรคการเมือง
ไม่ได้เป็นนักวิชาการแท้จะต้องอาศัยนักวิชาการ หมายถึงผู้ที่ศึกษากฎหมายโดยแท้ ถ้านักกฎหมายที่
ศึกษาในทางกฎหมายโดยแท้ไม่ได้สนใจในปัญหาที่แท้จริงมัวแต่ดูเพียงทางทฤษฎีของกฎหมายก็
จะไม่เกิดประโยชน์ได้ แต่ถ้านักกฎหมายหรือที่สนใจกฎหมายได้ไปดูข้อเท็จจริงต่าง ๆ กฎหมายจะ
ช่วยให้บ้านเมืองมีความเรียบร้อยก็จะทำให้ช่วยทางสภานิติบัญญัติชี้ทางให้สภานิติบัญญัติว่าควร
จะปรับปรุงกฎหมายที่ตรงไหน
ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าได้ไปประสบปัญหานี้ มีความเดือดร้อนอย่างยิ่งว่าประชาชนในเมืองไทย
จะไร้ที่ดิน และถ้าไร้ที่ดินแล้วก็จะทำงานเป็นทาสเขา ซึ่งเราไม่ปรารถนาที่จะให้ประชาชนเป็น
ทาสคนอื่น ในเมืองไทยนี้ที่ผ่านมาประชาชนแต่ละคนเป็นไทแท้ คือมีที่อยู่อาศัย มีอาชีพที่เป็น
เอกเทศที่จะเลี้ยงตัวได้ แต่เวลานี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว คือประชาชนกำลังจะเป็นทาสที่ดิน
ให้มีนายทุนมากด กดหัว ซึ่งข้อนี้ก็น่าคิดอยู่ เพราะว่าเมืองไทยซึ่งเคยโดนประณามจากคนบาง
ส่วนว่าเป็นระบบศักดินาจักรวรรดิ์นิยม แท้จริงไทยแท้ของเราอาจมีศักดินา แต่ศักดินาไม่ได้หมาย
ถึงอย่างที่เขาตีความหมาย คือการกดหัว เรามีระบบว่าแต่ละคนมีที่ดินของตัว แต่ละคนมีที่อยู่
อาศัยของตัว มาเดี๋ยวนี้จะกลายเป็นระบบที่เขาประณาม คือระบบแบบสมัยกลางในยุโรป ซึ่งเป็น
ระบบที่กดหัวต่อ ๆ กันมา จนกระทั่งใครที่จะแย่ ก็คือคนที่อยู่ติดแผ่นดิน ที่ได้บัญญัติศัพท์ไว้ว่าเป็น
หนอนแผ่นดิน ได้เห็นมาว่า คนที่เคยทำงานในที่ที่ตัวเห็นเป็นของตัวกลายเป็นหนอนติดแผ่นดินเพราะ
ว่าความคับแค้น ความลำบาก แท้จริงตัวเคยทำงานในที่ที่เป็นของตัว หรือเป็นของตัวได้แต่ว่ามี
นายทุนมาขอซื้อที่ดินจึงขาย เพราะว่านึกว่าเงินนั้นจะดี เงินนั้นจะนำความสุขมาให้แก่ตัวแท้จริง
เมื่อเงินหมดไปแล้วก็ต้องรับจ้างเขา รับจ้างเขาในราคาถูก และกลายเป็นทาสเขาในที่สุด แต่ถ้าเรา
สามารถที่จะขจัดปัญหานี้ โดยเอาที่ดินจำแนกนี้มาจัดสรรอย่างยุติธรรม อย่างที่มีการตั้งจะเรียกว่า
นิคม หรือจะเรียกว่าหมู่หรือกลุ่มหรือสหกรณ์ก็ตาม ก็จะทำให้คนมีชีวิตที่แร้นแค้น สามารถที่จะ
พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ แต่ต้องอาศัยกฎหมาย อาศัยระเบียบการที่เหมาะสม และอาจต้องปรับปรุง
กฎหมายและระเบียบการให้ดี ฉะนั้นก็ขอฝากความคิดแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งอาจารย์ ทั้งนิสิตว่ามี
ปัญหาในทางกฎหมายหลายด้าน ทั้งในด้านปฏิบัติกฎหมายซึ่งจำเป็นต้องบริการประชาชน ชี้แจง
ให้ทราบถึงกฎหมาย แล้วก็ชี้แจงให้บริการในทางช่วยเหลือ ทั้งมีปัญหาที่จะปรับปรุงกฎหมาย ไม่ใช่
ปฏิวัติ แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ กับท้องที่ กับบ้านเมืองของเรา สมมุติว่าเราเริ่มย้ายคน
ถึงเวลาเริ่มย้ายคน ก็บอกว่าครอบครัวที่อยู่ในเขตที่เรากำลังทำงานนี้ มีเท่านี้ครอบครัว แล้วก็คนที่
อยู่ในเขตนี้ไปอยู่ไหน แล้วให้หนังสือพิมพ์เห็นว่าไปอยู่ที่ไหน อยู่ที่เขาหาให้ ที่ที่ทำให้คนอื่นเขาอยู่
ตลอดได้… จะทำให้บ้านเมืองของเรามีความสามารถที่จะรักษาความดี รักษาความเป็นปึกแผ่น
รักษาความเป็นเองของประชาชน ก็ไม่จำเป็นที่จะเป็นทาสของความคิด ซึ่งเราอาจนึกว่าสมัยใหม่
ถ้าเราคิดอะไรออกให้อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว นั่นน่ะสมัยใหม่พอแล้ว ก็ขอฝากความคิดเหล่านี้แล้วก็จะ
เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ประสบความสำเร็จในความคิดต่าง ๆ ที่มี ที่ดีที่งาม และผู้ที่
ศึกษาก็ขอให้สำเร็จการศึกษาโดยดีที่สุด เพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง
และส่วนรวม ขอจงประสบแต่ความดีความงาม ความเจริญทุกประการ
พระราชดำรัส
พระราชทานแก่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ณ ศาลาดุสิดาลัย
วันเสาร์ ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๐
---------------------------------
สภาร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะร่างรัฐธรรมนูญ. ซึ่งในระยะก่อนนี้ก็เคยมีเหมือนกัน
แต่สภานี้ได้มีการตั้งด้วยวิธีการที่ไม่เคยมีมาก่อน และทุก ๆ ท่านก็เป็นผู้ที่ได้อาสาเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ
อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ. การที่ท่านได้อาสา และท่านเป็นผู้ที่เป็นกลาง หมายถึงไม่ได้
สังกัดพรรคการเมืองใด ๆ ก็เชื่อว่าท่านจะมีความสามารถที่จะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ได้อย่างดี.
การร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นงานที่ไม่ใช่ง่าย แต่ไม่ใช่ยาก สำคัญอยู่ที่แต่ละท่านจะต้องได้
ศึกษา ว่าในโลกนี้มีรัฐธรรมนูญหลากหลาย ซึ่งบางฉบับก็สั้นบางฉบับก็ยาว เป็นเหมือนหนังสือ
เป็นปึกใหญ่. ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านจะตัดสินที่จะสร้าง หรือร่างรัฐธรรมนูญให้ยาวหรือสั้น. แต่เข้าใจว่า
ถ้ามีข้อความมากเกินไป จะลำบากในการที่จะสร้างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสม เพราะความจริง
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่เป็นแม่บท หรือเป็นกฎหมายที่วางระเบียบกว้าง ๆ สำหรับที่จะปกครอง
ประเทศ. นอกจากนั้น ก็ควรจะมีการร่างกฎหมายที่เขาเรียกกันว่า “กฎหมายลูก” ง่ายกว่าที่จะเอา
กฎหมาย “ทั้งแม่ทั้งลูก” อยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน เพราะว่าการแก้ไขจะลำบาก. ส่วนการแก้ไขนั้น
แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรจะลำบากเกินไป เพราะว่าโลกก็เจริญ หรือวิวัฒนาการไปเรื่อย จะต้องให้
รัฐธรรมนูญนี้สามารถที่จะใช้ในโอกาสทุกโอกาส. ฉะนั้น ข้อสำคัญอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญก็คือ
จะต้องคล่องตัว.
นอกจากนี้มีสิ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องให้สามารถที่จะร่างกฎหมายที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
นี้โดยง่ายและไม่มีปัญหากำกวม. ฉะนั้นการสร้างหรือการร่างรัฐธรรมนูญนี้ จะต้องมีความสำคัญ
อยู่ที่ให้แจ่มแจ้ง. การร่างรัฐธรรมนูญนี้มีความลำบากอยู่ อย่างหนึ่งคือ จะต้องสรรหาคำที่เหมาะสม
ที่ไม่กำกวม ลงในกฎหมายที่ไม่เยิ่นเย้อ. แต่ละท่านผู้มีความรู้มีอยู่ ๙๘ คน ตามหลักควรจะมี
๙๙ คน แต่เดี๋ยวนี้ท่านมี ๙๘ คน ก็จะต้องพยายามที่จะพูดกันเพื่อที่จะเลือกสรรคำเหล่านี้ให้
เหมาะสม. มิใช่จะให้ตกลงกันง่ายเกินไป แต่ไม่ใช่ให้ตกลงยากเกินไป เพราะว่าท่านมีเวลาจำกัด.
ที่ได้พูดอย่างนี้ก็เป็นการพูดแบบคร่าว ๆ และรวม ๆ. เข้าใจว่าท่านทั้งหลายจะมีความสามารถที่จะ
ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญที่จะใช้งานได้.
ในการนี้ก็ขอให้ท่านทุกคนมีความสามารถ และมีความตั้งอกตั้งใจที่แน่วแน่และสามารถที่
จะปรองดองกัน หาคำที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยดี. การนี้ก็ขอให้ท่านถึงพร้อมด้วยกำลังกาย
กำลังปัญญา ที่จะปฏิบัติงานที่ให้เป็นผลสำเร็จ. ก็ขอให้ทุก ๆ ท่านจงประสบแต่ความเจริญและ
ความสำเร็จในการนี้.
-------------------------------------------------
พระราชดำรัส
ในโอกาสให้ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำกระทรวงเฝ้าฯ
เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ ศาลาเริง วังไกลกังวล
วันจันทร์ ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
------------------------------------------
การที่ผู้พิพากษาจะต้องกล่าวคำปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่เป็นครั้งแรกนั้นมีความสำคัญ
อย่างยิ่ง นอกจากหน้าที่ผู้พิพากษาโดยตรง ยังมีหน้าที่อื่น ๆ อีกมาก และโดยเฉพาะในวรรค
สุดท้ายหรือส่วนสุดท้ายของคำปฏิญาณนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก. เพราะว่าจะต้องปฏิบัติตนให้
ถูกต้อง และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยตามที่มีรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
คุ้มครองประชาชน. ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญจะต้องปฏิบัติทั้งในโรงศาล ทั้งนอกโรงศาล.
ปัจจุบันนี้มีปัญหาทางกฎหมายมากหลาย แต่ละคนจะต้องใช้ความรู้ที่ได้เรียนและความรู้
ที่คิดเองด้วย มาปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้. คือเกิดปัญหานั้น ไม่ใช่จะเข้าโรงศาลเป็น
ปัญหาที่คนเขาอยากจะปฏิบัติตนให้ดี ให้สามารถที่จะรักษาประเทศชาติให้มีความสุขความสงบ.
แต่ว่าปัญหานี้ จะแก้ด้วยกฎหมายก็ยากเต็มที เพราะกฎหมายขัดกัน. โดยมากมีปัญหาแล้ว
ก็บอกว่า ถ้าขัดกัน หรือขัดกับกฎหมายที่สูงกว่า ก็ต้องใช้กฎหมายที่สูงกว่า เช่นที่บอกว่าถ้าไม่มี
อะไร ไม่มีคำตอบ ก็ให้ไปหาในรัฐธรรมนูญ. แต่ในรัฐธรรมนูญเอง ก็คงทราบว่ามีปัญหาที่
ขัดกันเอง. รัฐธรรมนูญขัดขาตัวเอง. ฉะนั้น จะทำยังไง. ก็จะต้องให้ผู้มีความรู้ และมีความสามารถ
คิดด้วยสามัญสำนึกของตัวเองให้แก้ไขได้.
ตอนนี้จะยกตัวอย่างของตัวเอง แต่ว่าอย่าไปเครียดเกินไป. ของตัวเองเกิดปัญหา เพราะว่า
ตัวเองเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็จะต้องมีหน้าที่ที่จะใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่มีคนเขาบอกมาว่า พระมหา
กษัตริย์นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกตั้ง. อันนี้ขัดกัน เพราะว่าบุคคล พระมหากษัตริย์ก็เป็นบุคคล
เป็นคนไทย จะไม่ไปเลือกตั้งก็จะถูกตำหนิและจะใช้คำว่าจะถูกขึ้นป้ายว่าไม่มีสิทธิ์ คือตัดสิทธิ์.
ข้อนี้พูดอย่างนี้คงทำให้ท่านทั้งหลายทุกคน รวมทั้งท่านประธานศาลฎีกาด้วย ปวดหัว และเครียด.
แต่ก็ขออย่าให้เครียด เพราะว่าเป็นพระมหากษัตริย์นั้นจะต้องสละหมด แม้จะสิทธิ์อะไรก็สละได้.
อันนี้พูดไว้สำหรับให้เห็นว่า แต่ละคนมีปัญหา และบางทีปัญหานั้นเป็นปัญหาโลกแตก. แต่ละท่าน
ก็มีปัญหา ซึ่งจะเป็นปัญหาโลกแตกเหมือนกัน. แต่ว่าถ้าแต่ละคนใช้สามัญสำนึก และพยายามทำ
เพื่อให้หน้าที่ของตนในฐานะ อย่างท่านทั้งหลายในฐานะผู้พิพากษาบรรลุไปอย่างดีที่สุด และ
นอกหน้าที่ก็ในฐานะเป็นคนไทย ในฐานะเป็นมนุษย์ ให้ทำอะไร ที่ดีที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อ
ชาติบ้านเมืองและเพื่อนมนุษย์ ให้ผ่านพ้นไปได้ดีที่สุด. อันนี้จะไม่บอก ไม่พูดอะไรเป็นเจาะจงว่า
ควรจะทำอย่างไร. ไปค้นหาในสมองของตน ค้นหาในจิตใจของตนว่า อะไรดี.
เคยพูดถึงว่า คำว่า ดี นี่ไม่รู้แปลว่าอะไร. คนเขาบอกว่าดี คืออะไรที่ไม่ชั่ว แล้วถามว่า
อะไรชั่ว ก็คืออะไรที่ไม่ดี. ไม่มีทางที่จะตอบได้สั้น ๆ ว่าความดีคืออะไร แต่ว่าแต่ละคนจะต้อง
พิจารณาอยู่เสมอ ถ้าทำตามคำปฏิญาณที่ได้เปล่งมาเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นการทำดี และถ้าทำดี
อย่างนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อเพื่อนร่วมชาติ. ฉะนั้น ก็ขอให้
ท่านพิจารณาดี ๆ ในคำปฏิญาณของท่าน และพยายามทำให้ครบถ้วนที่สุด เพื่อให้ได้ชื่อว่าทำดี
ทำสิ่งที่เหมาะสม และเป็นคนที่เป็นประโยชน์.
ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจ กำลังกาย กำลังความสามารถ กำลังจิตใจที่ซื่ อสัตย์
สุจริต เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานการตามหน้าที่ และนอกหน้าที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
และในเวลาเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวของตัวเอง. ขอให้ทุกคนประสบความเจริญรุ่งเรือง
ความสำเร็จ และความสุขทุกประการ.


ทีนำมาลงเพราะมีอะไรดีๆเพื่อตน เพื่อบ้าน เพื่อประเทศ ขอให้เราช่วยๆกันทำตามแล้วทุกอย่างย่อมประสบสุขด้วยกันทุกๆฝ่าย

พ่อทำงานเพื่อเรามานาน



เพื่อพ่อของแผ่นดิน เพลงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพลงนี้ ขับร้องโดย โน้ต-สมัชญ์พล ศรีชลวัฒนา นักร้องนำที่เคยฝากผลงานในอัลบั้ม STEP ของค่ายอาร์เอสเมื่อปี 2549

โดยมี ยอด-วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของเว็บไซต์ซังกะบ๊วยด็อทคอม เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง-ทำนอง และมี เอสนะ อยู่เจริญ คนทำเพลงเป็นผู้เรียบเรียง รวมทั้ง เฉลิม พล ปัญจเทพ หรือ PJ Soft เป็น Sound Engineer

เนื่องใน วโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคมปีนี้ ขออนุญาตนำเพลงที่ชื่อว่า “เพื่อพ่อของแผ่นดิน” มาให้คุณผู้อ่านได้รับชมรับฟังกัน ซึ่งจากเนื้อร้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ของคนรุ่นใหม่ และจะเดินตามรอยพระยุคลบาท รักษาชาติบ้านเมืองเพื่อแทนคุณแผ่นดิน

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ

เพื่อพ่อของแผ่นดิน

บนผืนแผ่นดิน แห่งนี้ ที่มีให้ลูกได้เติบโตและอาศัย
นี่แหล่ะคือผืนดินไทย ที่บรรพชนร่วมใจปกป้องกันมา
ที่ซึ่งมีองค์พระราชา
ผู้เปี่ยมล้นด้วย พระเมตตา

กว่า 60 ปี ที่พ่อเดินทาง ดับทุกข์ของปวงประชา
เหน็ด เหนื่อยเพียงใด ที่ทรงแบกไทยทั้งชาติให้ไปข้างหน้า
ลูกซาบซึ้งในพระเมตตา
ลูก จะทดแทนคุณด้วยสัญญา

จะรักษาผืนดินไทยไว้ให้นาน
หากแม้นมีใครคิด มาทำลาย ไม่มีทาง
จะน้อมรับทุกคำที่ทรงสอนสั่ง
เป็นลูกที่ดีของ พระองค์ท่าน ตลอดกาล
จะเอาชีวิต ปกป้องพระองค์จากเหล่าศัตรู
จะแลก ด้วยเลือดและเนื้อ ผองไทยยอมพลี เพื่อพ่อของแผ่นดิน

กว่า 60 ปี ที่พ่อเดินทาง ดับทุกข์ของปวงประชา
เหน็ดเหนื่อยเพียงใด ที่ทรงแบกไทยทั้งชาติให้ไปข้างหน้า
ลูกซาบซึ้งในพระเมตตา
ลูกจะทดแทน คุณด้วยสัญญา

ทุกย่างก้าวที่พ่อเดิน
ลูกจะนบน้อมทดแทนคุณด้วย หัวใจ

จะรักษาผืนดินไทยไว้ให้นาน
หากแม้นมีใครคิดมาทำลาย ไม่มีทาง
จะน้อมรับทุกคำที่ทรงสอนสั่ง
เป็นลูกที่ดีของพระองค์ท่าน ตลอดกาล
จะเอาชีวิต ปกป้องพระองค์จากเหล่าศัตรู
จะแลกด้วยเลือดและ เนื้อ ผองไทยยอมพลี เพื่อพ่อของแผ่นดิน

ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ

ทักษิณ คนรวยสุดที่หนีคดี



คดีทักษิณ มี 5 คดีแล้ว :
1.ที่ดินรัชดา
2.ปล่อยกู้พม่าเอ็กซิมแบงค์
3.หวยบนดิน
4.แปลงสัมปทานมือถือ-ภาษีสรรพสามิต
5.ก่อการร้าย

อันนี้เพิ่มมาจากของเ่ก่าดูกันหน่อย

หัวข้อ : รวบรวมคดี และความเลวทักษิณทั้งหมด ที่พอจะหาได้
โพสเมื่อ : 04 กุมภาพันธ์ 2009 , 11:09:51

คดีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ( มหาชน ) โดยศาลอาญา พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน คนละ 3 ปีและจำคุกนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 2 ปี


คดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษกซึ่งอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ร่วมกันเป็นจำเลย โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกยื่นฟ้องว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ปปช. พ.ศ. 2542 และข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ส่วนคุณหญิงพจมาน มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด กรณีคุณหญิงพจมาน ซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการ เงิน จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินที่ต่ำกว่าราคาประเมิน และคดีนี้ได้สินไปแล้ว จำคุกทักษิณ 2 ปี กำลังหลบหนีอยู่



คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดินซึ่ง คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ, คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย



คดี เอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจาก บริษัทในเครือ ชินคอร์ปอ เรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่ง คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อ ประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157



คดี ทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่ส่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง



คดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้นคดีนี้ยื่นฟ้องนายเน วิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ กับพวกรวม 44 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157



คดีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ซึ่งมีนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากรกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอีก 4 คน เป็นจำเลย ฐานละเว้นการเก็บภาษีการโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา



คดีอยู่ระหว่างตั้งคณะ ทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ปปช. 3 คดี

คดีทุจริต CTX 9000ซึ่ง คดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋า สัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157



คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานครซึ่งเป็นการอนุมัติสิน เชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ กับพวก รวมทั้ง คตส.ได้ชี้มูลความผิดนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายกับพวกในข้อหารับของโจร โดยแยกออกมาเป็นอีกสำนวนคดีหนึ่งเนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดา


คดีทุจริตโครงการระบบจ่าย ไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวกเป็นจำเลย



คดีอยู่ระหว่างการ พิจารณาของอัยการ 2 คดี

คดีปกปิดข้อมูลโครงสร้างผู้ถือ หุ้นเอสซี แอสเซทฯ คดีนี้มีผู้ต้องหา คือ บริษัท เอสซี แอสเซท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พ.ต.ท. ทักษิณ, คุณหญิงพจมาน และนางบุษบา ดามาพงศ์
คดี นี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้ดำเนินคดีในข้อหาฐานแสดงข้อความอัป็นเท็จหรือปกปิดความจริงเกี่ยวกับโครง สร้างผู้ถือหุ้นบริษัทเอสซีฯ ต่อตลาดหลักทรัพย์ และสรุปสำนวนส่งให้กับอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง ต่อมาอัยการได้สั่งให้ดีเอสไอ ทำการสอบสวนเพิ่มเติม


คดี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ร่ำรวยผิดปกติเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนเองและพวกพ้องซึ่งเป็นคดี แพ่ง และคดีนี้ที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการและ ปปช. และมีข้อสรุปออกมาว่าให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้ศาลมี คำสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 69,000 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส์ จัดอันดับอภิมหาเศรษฐีที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในโลก แต่กลับต้องใช้ชีวิตในขณะนี้อยู่ในห้องขัง หรือไม่ก็หลบหนีคดีอยู่ โดย 1 ในนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังหนีหมายจับคดีก่อการร้ายของรัฐบาลไทย

เว็บไซต์นิตยสารธุรกิจชื่อดังของสหรัฐ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายในสัปดาห์ นี้ จากการที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งทำให้เกิดเหตุจลาจลรุนแรงในใจกลางเมืองหลวงตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตรวม 88 คน ขณะที่อดีตผู้นำไทยรายนี้ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น

นิตยสารฟอร์บส์ ระบุด้วยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย เพราะในปี 2551 พ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิน โดยไม่เข้าฟังการพิจารณาคดี ให้จำคุก 2 ปีในข้อหาคอร์รัปชัน แต่ก็ไม่เคยต้องเข้าไปอยู่ในห้องขัง เนื่องจากหลบหนีออกนอกประเทศ ไปพำนักอยู่ที่ดูไบ ก่อนที่จะถูกตัดสินความผิด

ขณะที่ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล เนื่องจากถูกรัฐบาลอายัด และขณะนี้ หากอดีตผู้นำไทยถูกจับกุมตัว ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถึงขั้นต้องโทษประหาร ในข้อหาก่อการร้าย

นิตยสารฟอร์บส์ ระบุด้วยว่า นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังมีนายหวง กวง หยู วัย 41 ปี บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนเมื่อปี 2549 อดีตมหาเศรษฐีอีกรายที่กำลังฉลองความสำเร็จทางธุรกิจ และความมั่งคั่งอยู่ในคุก หลังจากถูกตัดสินโทษทุจริตรับสินบน และคดีซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน

ฟอร์บส์ ระบุว่า อภิมหาเศรษฐีทั้งสองคน เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของบุคคลผู้ร่ำรวย แต่ทำสิ่งผิดกฎหมาย เป็นบุคคลที่สังคมไม่ยอมรับ และยังถูกพิพากษาว่ามีความผิดจริง แม้ในปัจจุบันจะมีมหาเศรษฐีโลกเพียงไม่กี่คนที่รับโทษอยู่ในคุก ซึ่งนายหวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
จาก http://www.oknation.net/blog/darknews/2010/02/22/entry-1
อ่านนี้ประกอบหน่อยได้ครับ http://blogs.forbes.com/billions/2010/02/27/thaksin-shinawatra-says-goodbye-to-1-4-billion/
รวมคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ค้างอยู่
ชั้นศาล
1. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน ซึ่งคดีนี้ คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย

และคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวเนื่องจากหนีคดี และได้ตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผ.อ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คนละ 2 ปี และให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี

2. คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์)ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า

คดีนี้ คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วน เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157

กรณีที่มีการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ให้แก่รัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือ ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้จำหน่ายคดีชั่วคราวไว้ก่อนเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี
3.คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท

คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้สั่งจำหน่ายคดีไว้ ชั่วคราวเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณของคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ปปช.

1. คดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ 9000 ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋า สัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด (ซีทีเอ็กซ์ 9000)ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

2. คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับพวก นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายในข้อหารับของโจร ด้วย

3.คดีทุจริตโครงการระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวกเป็นจำเลย

กฎของกรรมคืออริยสัจ



พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. ร่างกายมันก็ไม่ดีมาอย่างนี้ทุกๆ ชาตินั่นแหละ ตั้งแต่จุติมาจากความเป็น ปภัสสราพรหม ก็ทำบุญทำบาปกันเรื่อยๆ มา แต่กำลังของบุญมีน้อยกว่ากำลังของบาปมาก นับแสนอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน เกิดตายๆ เวียนว่ายอยู่ในกระแสของกรรม

๒. ขึ้นชื่อว่ากรรมไม่มีใครทำ ล้วนแล้วแต่เราทำเอาไว้เองทั้งสิ้น กรรมแปลว่า การกระทำ ไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางใดทางหนึ่ง เมื่อกระทำขึ้นมาก็เป็นกรรมทั้งสิ้น ดังนั้นทุก ๆ ชาติที่ยังอัตภาพให้เกิดขึ้นมา ก็ย่อมหนีการเจ็บป่วยไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องเสวยผลแห่งกรรมที่ตนกระทำเอาไว้นั้น ไม่มีใครหนีกฎของกรรมได้พ้น

๓. ให้เห็นธรรมดาเข้าไว้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ความปรารถนาไม่สมหวังนั้น เป็นเรื่องของกฎธรรมดา ไม่มีใครที่จักหลีกเลี่ยงไปได้

๔. ให้ทุกคนยอมรับในกฎของกรรม ซึ่งย้ำอีกทีไม่มีใครทำ เราทำของเราเอาไว้เอง แม้องค์สมเด็จปัจจุบันทรงปรินิพพาน ๘๐ พรรษา เพราะกรรมปาณาติบาตฆ่า รากษกตายตอนอายุ ๘๐ ปี กฎของกรรมอันนี้ถ้าพระพุทธองค์หนี โดยใช้อิทธิบาท ๔ ครบ บารมี ๑๐ พร้อม ก็สามารถอธิษฐานกายให้อยู่ไปตลอดพุทธันดรได้ แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทำ เพราะเคารพในกฎของกรรมที่พระองค์ทำไว้นั้น

๕. เรื่องท่านมหาโมคคัลลานะ ยอมให้โจรทุบจนร่างกายแหลก ก็เพราะท่านเคารพในกฎของกรรมเช่นกัน

๖. และ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่มีบทใดเลยที่ไม่แสดงเรื่องกฎของกรรม เพราะกฎของกรรมคืออริยสัจ กฎของกรรมคือของจริง เป็นสิ่งที่ พระอริยเจ้าทั้งหลายยอมรับ แต่มีกำลังใจยอมรับแค่ไหนนั้น ก็สุดแล้วแต่บารมีธรรมของจิต จักเจริญขึ้นมาได้แค่ไหน ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้สำรวจอารมณ์เอาไว้ให้ดี เตือนจิตตนเข้าไว้ อย่าสร้างกรรมที่เป็นอกุศลให้เกิดเป็นทั้งกาย วาจา ใจ อีกพยายามตัดกรรมเข้าไว้

๗. ถ้าไม่รู้จักทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ มันก็ล่วงพ้นความทุกข์ไปไม่ได้ พระตถาคตเจ้าทั้งหลายสอนให้เห็นทุกข์ จักได้วางทุกข์ ปลดทุกข์ ละทุกข์เสียได้ จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

๘. หากพิจารณาให้ดีๆ จักเห็นได้ว่า โลกนี้ทั้งโลกมีแต่ความทุกข์ หาสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ให้เห็นตามความเป็นจริงอย่าให้สภาวะของจิตมันบิดเบือนความจริง เพราะตัว ธรรมล้วนๆ ไม่มีการปรุงแต่ง มันเกิด เสื่อม ดับ อยู่เป็นปกติตามหลักของ มหาสติปัฎฐาน ๔ คือ มีสติกำหนดรู้อยู่เสมอว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนเกิดดับๆ อยู่เป็นปกติธรรม จิตของเราเป็นผู้ไปรู้ธรรมนั้นๆ ผู้ใดไปยึด ไปฝืนกฎธรรมดาเข้าก็เป็นทุกข์ จงอย่าให้จิตของเรามีอุปาทานหลอกตัวเอง ปรุงแต่งธรรม ว่าดี ว่าเลว ว่าผิด ว่าถูก มองให้ลึกๆ ลงไป มันเป็น สภาวะธรรมอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา

๙. โลกทั้งโลกจึงล้วนเป็นอริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าจักตรัสอย่างไรอีกกี่แสนครั้ง ก็ไม่พ้นจากอริยสัจ การสอนของพระองค์มุ่งเน้นอยู่ที่อริยสัจหรือกฎของกรรมทั้งสิ้น

รวบ รวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

เบียดเบียนตนเอง

มีอะไรที่ทำให้ผมคิดว่า เพราะเรารักตัวเองไม่เป็น เมื่อทำไม่ถูกต้องความเดือดร้อนย่อมตกเกิดแก่ตัว อะไรทีี่บอกว่่าเบียดเบียนตนเอง ผมลองค้นหาดูจากคำค้น"เบียดเบียนตนเอง"ได้พบอะไรอย่างงี้ครับ

การไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น



สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. จากการที่พวกเจ้าศึกษาศีลพระจักเห็นได้ว่า แม้พระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว แม้ท่านจักได้รับยกเว้นไม่ถูกปรับอาบัติอีก แต่ท่านก็ไม่ขัดต่อศีล อันเป็นพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ ตัวอย่างเช่น

ก) พระสารีบุตรไปฉันอาหารที่โรงทานแล้วเกิดอาพาธ (ป่วย) ขึ้นมา ประชาชนที่โรงทานรู้ ก็นิมนต์ให้ไปฉันอาหารที่โรงทานอีกเป็นวันที่ ๒ แต่ท่านไม่รับนิมนต์ เพราะผิดพุทธบัญญัติ ห้ามฉันอาหารที่โรงทานเป็นวันที่ ๒ ผู้ใดละเมิดต้องอาบัติปาจิตตีย์ ท่านยอมอดอาหาร ทั้งๆ ที่ท่านได้รับยกเว้นไม่ถูกปรับอาบัติแล้ว ท่านทำเป็นแบบอย่างที่ดีไว้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันอาหาร ในโรงทานได้ประจำโดยไม่อาบัติ

ข) เรื่องหลวงปู่โต ท่านไปเทศน์ที่บางนกแขวก ขากลับนั่งเรือมา ความอ่อนเพลียกายก็หลับเลยเวลาฉันเพล พอตื่นท่านขอร้องให้คนแจวเรือกลับไปที่เก่า ตรงที่คนแจวเรือรู้ว่าเพลที่ตรงจุดไหน ท่านก็ไปฉันเพลที่จุดนั้น เรื่องนี้พระอรหันต์ท่านไม่ทำอะไรเล่นๆ ท่านใช้ปัญญา ท่านมีพรหมวิหาร ๔ เต็มและทรงตัว ท่านจึงไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ท่านรู้ว่า กายที่จิตท่านอาศัยอยู่มันหิว เป็นโรคหิวจากธาตุ ๔ มันเสื่อม กายท่านอาพาธ ท่านจึงไม่อาบัติ เพราะศีล จะขาด จะบกพร่องหรือไม่ อยู่ที่ เจตนาของใจเป็นหลักสำคัญ ทุกอย่างพึงใช้ปัญญา หรือ นิสัมมะกรณังเสยโย ก่อน ผู้ใดที่ไปวิจารณ์ท่าน หรือพูดในเชิงตำหนิท่าน แม้แต่คิดตำหนิ ผู้ตำหนิย่อมก่อกรรมอันเป็นโทษกับตนเองเป็นอย่างมาก เพราะความโง่ของตนเอง

๒. ในพุทธศาสนา พระตถาคตเจ้าสอนเหมือนกันหมด คือ ให้หมดไปจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ด้วยพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะตัว เมตตา - กรุณา ๒ ข้อแรกเป็นหลักสำคัญ เพราะคนเราในการเริ่มทำความดี มีการทำทานและรักษาศีลครั้งแรก ก็เริ่มไปเบียดเบียนตนเอง แต่ในบางขณะก็ยังเผลอไปเบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือทั้ง ทางกาย - วาจา - ใจ เผลอกรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่น จัดว่าใช้หลัก สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง นั่นเอง (ให้เว้นจากการทำบาปกรรม หรือกรรมชั่วทั้งหมด คือกาย - วาจา - ใจ)

๓. ผู้มีจิตบริสุทธิ์ถึงที่สุด หมดจากการเบียดเบียนทั้ง ๓ ระดับ คือพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นการเริ่มแรก คือ การพยายามไม่เบียดเบียนตนเองก่อน ไม่ทำกรรมทุจริตให้บังเกิดเป็นกฎของกรรม เป็นผลของกรรมเข้ามาตอบสนองตนเองในอนาคตกาล

๔. คำว่าอนาคตอย่าไปคิดว่าชาติหน้าหรือพรุ่งนี้ แค่ชั่วแห่งเสี้ยววินาทีข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นอนาคต เพราะฉะนั้น พึงระมัดระวัง กาย - วาจา - ใจของตนเองไว้ให้ดีๆ จักคิด - จักพูด - จักทำสิ่งใด ให้คิดเสียก่อน หรือ นิสัมมะกรณังเสยโย เสียก่อนแล้วจึงทำ ความเบียดเบียนก็จักไม่เกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อจิตละเอียดขึ้นไปนิดหนึ่ง ก็จักไม่เบียดเบียนบุคคลผู้อื่น

๕. อย่าทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน แต่เรายังอยู่สุขสบาย ตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเราเดินทางไปไหนสักแห่ง (เขาใหญ่ ภูกระดึง หาดทรายชายทะเล) อาหารที่เหลือบริโภคก็ทิ้งเรี่ยราดไปตามใจชอบ ผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้นหรือมาทีหลังย่อมเดือดร้อน เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไหม ทั้งนี้ไม่รวมคนรับใช้ที่ได้รับค่าจ้างเงินเดือน ตถาคตหมายถึงคนมีฐานะเสมอกันในบ้าน

๖. จุดนี้เพียงแต่อุปมาอุปไมยให้เห็นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยปัญญา เหมือนคนจอดรถขวางปิดทางผู้อื่นสัญจร ตนเองไม่เดือดร้อน แต่คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจิตละเอียดขึ้น พรหมวิหาร ๔ ทรงตัวดีขึ้น ก็จักเลิกเบียดเบียนผู้อื่น พอปฏิบัติตามหลักนี้นานๆ เข้า คำว่า นาน หมายถึง การศึกษาเรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง มิใช่สักเพียงแต่ว่าจำแล้วนำไปทำเล่นๆ ไม่จริงจัง ก็เลยรู้ไม่จริง คนทำจริงเท่านั้นที่จักรู้จริงเห็นจริงในอริยสัจ คือเห็นทุกข์อันเกิดจากการเบียดเบียน

๗. พอจิตละเอียดถึงที่สุดแล้ว ธรรมะเบื้องสูงก็จักเกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติเอง เล็งเห็นโทษของการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น พยายามละพยายามตัด ความเบียดเบียนนั้นให้สิ้นซากไปด้วยปัญญา เมื่อนั้นแหละความสุขอย่างยิ่งก็จักเกิดแก่จิตของนักปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครชี้แนะนำ ธรรมของตถาคตถึงแล้วรู้เอง รู้อยู่ภายในจิตของตนนี้แหละ

ได้อ่านบางตอนจาก หนังสือ ช้อปปิ้งบุญ ของคุณขวัญ เพียงหทัย

วันนี้แพรตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อลุกขึ้นมาทำกับข้าวใส่บาตรที่หน้าบ้าน อากาศยามเช้าเย็นชื่นใจ พระสงฆ์เดินอย่างสงบดูน่าเลื่อมใส แพรรู้สึกเป็นบุญที่มามีบ้านอยู่ในย่านที่มีวัดหลายวัด ทำให้มีพระออกบิณฑบาตรมาก ได้สัมผัสถึงวิถีชาวพุทธที่จะได้ทำบุญกับพระสงฆ์ในเวลาเช้า

ตักบาตรเสร็จแล้วเข้าห้องพระนั่งสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิประมาณ 10 นาที พอจิตใจสงบดีแล้วแพรก็นั่งคิดพิจารณาธรรมเนื่องด้วยวันวานได้ฟังเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งสนทนากันว่า

“ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็น่าจะพอแล้วจริงมั้ย”

อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

“คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

“คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

ในตอนแรก แพรยังนึกคำตอบไม่ค่อยออก เปิดตำราไม่ทันแต่ก็รู้สึกว่าคำสนทนาที่บังเอิญได้ยินมานั้นไม่ถูกต้องเสีย ทีเดียว วันนี้แพรจึงนั่งสมาธิเพื่อจะค่อย ๆ พิจารณาคำตอบให้กับตัวเอง คิดถึงคำสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เคยสอนไว้ว่าอย่างไร

การทำวันนี้ให้ดีที่สุด แน่นอน เป็นประโยคทองของนักพูด พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องคิดคร่ำครวญอยู่กับอดีต เพราะทำให้ทุกข์ใจ ไม่ต้องพะวงถืออนาคต เพราะจะกังวลใจ อนาคตเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ ไม่เป็นไปอย่างใจเราวางแผนไว้ฉะนั้น ก็คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเมื่อวันนี้ดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะมีอดีตที่ดีด้วยโดยอัตโนมัติ

แต่ประโยคนี้ยังไม่จบใจความ ความหมายเต็ม ๆคือ

“การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น”

“การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” กับ “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด” นั้น ไม่เหมือนกัน ถ้ามีเพื่อนชวนไปกินเหล้า การทำวันนี้ให้ดีที่สุด อาจจะเป็นการไปกินเหล้ากับเพื่อนให้เมาที่สุด สนุกที่สุดก็ได้ ก็เป็นการทำวันนี้ให้ดี คือ ไม่มีอะไรเศร้าหมอง เมาให้สนุก

แต่ที่ถูกแล้ว ไม่ใช่

การทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีด้วย เมื่อเพื่อนมาชวนไปกินเหล้า คำตอบมี 2 อย่าง ไปกับไม่ไป สิ่งที่ดีคือไม่ไป แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดี อาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้

อันนี้ไปสอดคล้องกับประโยคที่ 2 ของเด็กกลุ่มนั้นที่ว่า “ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้เบียดเบียนตัวเอง แล้วก็หาความสุขได้”

คนกินเหล้า แล้วมีความสุข กินด้วยเงินของตัวเอง เมาแล้วกลับไปนอนเงียบ ๆ อย่างมีความสุข มองดูแค่วันนี้ตรงนี้แล้วน่าจะเป็นการกระทำที่ปลอดภัย ใช้ได้ แต่ก็แค่วันนี้เท่านั้น

การกินเหล้านั้นผิดศีล ถ้ายกเรื่องศีลออก การกินเหล้าก็เบียดเบียนสุขภาพของตนเอง เป็นการเบียดเบียนตนเอง แม้จะโดยเต็มใจ

กรรมคือการกระทำ วิบากคือผลของกรรม ทุกกรรมที่ทำมีวิบาก นี่คือ กฎของกรรม

กินเหล้าจะผิดศีล หรือไม่ถือศีล กรรมได้สำเร็จแล้ว วิบากเกิดไปรออยู่ในอนาคต เราสร้างอนาคตเลวรอตัวเราอยู่เบื้องหน้าตรงนี้เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง ทำให้ตัวเองต้องเดินไปพบสิ่งเลวที่สร้างไว้

ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน คำนี้พูดกันเท่ คือคำว่า เดือดร้อนในความหมายของพวกเรา คนชอบเถียง ต้องเป็นขนาดขับรถชนคนตายเสียก่อน จึงจะเรียกว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถ้าชนต้นไม้ยังไม่ถือว่าทำให้ใครเดือดร้อน

แน่ใจหรือว่าคนรอบข้างที่รักเรา ไม่มีใครสักคนที่เดือดร้อนใจ เป็นทุกข์ที่เรากินเหล้า

แล้วเงินที่กินเหล้า เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง และครอบครัวมากขึ้น น่าจะดีกว่าหรือเปล่า หรือว่าตัวใครตัวมัน

ส่วนท้ายประโยคที่ว่า "….แล้วก็หาความสุขได้" นั้น

ในเส้นทางแห่งพุทธไม่มีคำว่าสุขที่แท้จริง มีแต่ทุกข์น้อย กับ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยก็เป็นสุขแล้ว ความสุขมีหลายระดับ ตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อย สุขร้อยคือนิพพาน สุขเก้าสิบคืออนาคามี สุขแปดสิบคือ สกิทาคามี สุขเจ็ดสิบคือ โสดาบัน สุขหกสิบคือ กัลยาณปุถุชน สุขห้าสิบคือ คนดีปกติ สุขสี่สิบลงมาถึงศูนย์คือสุขของปุถุชนระดับที่ว่า “เมาแล้วมีความสุขดีนี่นา ทำไมว่าทุกข์ ไม่เข้าใจ พูดเรื่องอะไร” ทำนองนั้น

ระดับต่าง ๆ ที่แพรแบ่งเอง เพื่อความเข้าใจของตัวเองไม่มีในตำรา

การที่เด็กคนนั้น บอกว่า “คนเราหาความสุขได้ ไม่ผิด” นั้น ถ้าคิดแบบปุถุชนคนยินดีพอใจเวียนว่ายตายเกิดชั่วกับชั่วกัลป์อยู่ในสังสาร วัฎนี้ ก็เป็นคำพูดที่จริงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าสำหรับคนปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่จริง

ในศาสนาพุทธแบ่งโลกนี้ออกเป็น 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ความหมายคือ ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความเพลิดเพลิน พอใจแก่จิตใจ เรียกว่าโลภะหมด เช่นกินก๋วยเตี๋ยวใส่พริกน้ำส้มเผ็ด ๆ โอ๊ย อร่อยชะมัด ชอบ นี่เป็นโลภะแล้ว คือจัดอยู่ในหมวดเกิดความพอใจแก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใดทางหนึ่ง

ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความโกรธ ความโทมนัส เศร้า เสียใจ ร้องไห้ ศัพท์ท่านยกให้โทสะ

ส่วนโมหะ คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง อย่างที่เราคิดว่าสุขนี่แหละ เป็นต้น

เวลาเรามีความรัก เราคิดว่าเรามีความสุข แต่ที่จริงแล้วมันคือช็อกโกแลตสอดไส้ความทุกข์ไว้ข้างใน พอรักแล้วก็อยากให้เขาเอาใจเรา ไม่อยากให้เขาคุยกับใคร หึง หวง พอเขาหายไปก็เสียใจ พอเขาโผล่มาก็ดีใจ อารมณ์แห่งกิเลสเข้ามาขย้ำหม่ำกินหัวใจเราเข้าไปเท่าไหร่ ๆ เราก็ยังชื่นใจว่ามีความสุขจากการมีความรัก บางทีน้ำตาไหลก็ยังเดินตามเขาไปต้อยๆ หวังว่าเขาจะหันกลับมาแล้วกอดเราปลอบใจ

ความสุขของชาวพุทธ คือการเรียนให้รู้จักตัวทุกข์ รู้จักตับไตไส้พุงของโลภะ โทสะ โมหะ เพื่อจะขึ้นไปอยู่เหนือมันให้ได้ ไม่ยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้ามัน ให้มันย่ำยีเล่น

ความสุขของชาวโลก บางครั้งดูเหมือนไม่น่าอันตรายอะไร ยกตัวอย่างเช่น การดูหนัง ฟังเพลง

ในชาดกเล่าว่า ตระกูลฟ้อนรำ ฟ้อนรำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ถึงรุ่นหลาน กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะได้ไปสวรรค์ชั้นไหนเพราะให้ความสุขเพลิดเพลินแก่ ผู้ชม พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องไปตกนรก เพราะชาวโลกมีโลภะ โทสะ โมหะ เพลิดเพลินอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขามัวเมาเพลิดเพลินหนักเข้าไปอีก นับว่าเป็นบาป

ในการถือศีล 5 จะไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องดูหนัง ฟังเพลง แต่ในการถือศีล 8 จะมีข้อหนึ่งที่ให้งดการดูหนัง ฟังเพลง เพราะเป็นเหตุแห่งกิเลสคือโลภะ

ทั้งนี้เพื่อเป็นการขัดเกลา ฝึกหัดตนเองให้ทวนกระแสไม่หลงใหลไปกับเสียง พัฒนาจิตใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนได้รับสุขอันประณีตกว่า ๆ ไม่ต้องอาศัยเสียงเพลงมาช่วยให้มีความสุข

คนที่หัดเข้ามาสู่เส้นทางธรรมใหม่ ๆ และชอบดูหนัง ฟังเพลง ก็ไม่ถึงกับต้องเบรกเอี๊ยดเลิกจนหัวคะมำ และรู้สึกสงสัยว่าห้ามความสุขไปเสียทุกอย่างแล้ว ธรรมะจะนำชีวิตที่ร่าเริงไปสู่ความเป็นตอไม้ที่เงียบงัน

ท่านให้ฝึกหัดโดยทำเคียงคู่กันไป ฟังเทปธรรมะบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง หัดเข้าสมาธิภาวนาพุทโธอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ บ้าง แล้วว่าง ๆ ก็ฟังเพลงไปบ้าง

แต่พอนาน ๆ เข้าจิตใจจะพัฒนาเอง มันจะเทียบเคียงของมันได้เอง รู้เอง เข้าใจเอง ว่าความสุขเมื่ออยู่กับธรรมะเป็นความสุขสงบที่สูงกว่าประณีตกว่า ทำให้การฟังเพลงจะลดลงไปเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะเริ่มมองเห็นว่า การมานั่งฟังเนื้อร้องอันคร่ำครวญหวนไห้ มีแต่เรื่องอกหักรักร้างไปตามอารมณ์ของโลกียชนนั้นเป็นการเสียเวลา จิตใจมันจะอยากอยู่กับสุขอันประณีตที่ได้รู้จักแล้วว่าธรรมะมากกว่า

ดังนั้น แพรสรุปให้ตัวเอง ควรจะเปลี่ยนประโยคแรกจาก “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” มาเป็น “ทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” สิ่งที่ดีที่สุดอาจจะไม่ถูกใจเช่นอดกินเหล้า แต่ก็ถูกต้อง คือไม่ผิดศีลและไม่เบียดเบียนตัวเอง และคนที่รักเรา

และประโยคที่สองที่ว่า “ถ้าเราไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็หาความสุขได้” อันนี้ก็ต้องมองยาวไกลว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง ทั้งในวันนี้และอนาคต ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งทางกายและใจในวันนี้และอนาคต แล้วก็หาความสุขได้โดยเป็นความสุขที่แท้จริงตามคำสอนของธรรมะ ไม่ใช่ความสุขแบบที่เราพอใจข้างเดียว ข้างกิเลสเสียด้วย คิดว่าถูกแล้ว เพราะไม่รู้ธรรมะ เป็นความสุขที่อาจจะนำเราไปสู่อบายภูมิได้

แพรรู้สึกเหมือนได้ทบทวนตำราที่เรียนมา พิจารณาแล้วก็รู้สึกดี ได้เตือนตัวเองเกี่ยวกับข้อธรรมขึ้นมาบ้าง ทำให้เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ดีมาก ๆ อีกวันหนึ่ง

แพรก้มกราบขอบพระคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ที่ได้สอนให้เข้าใจสิ่งดี ๆ ของโลกและชีวิต และเป็นแสงสว่างนำทางเดินไปสู่ชีวิตที่ดีงาม ทั้งวันนี้และวันหน้า.

ขวัญ เพียงหทัย เป็นใคร ?????

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2350 ประจำวัน อังคาร ที่ 12 สิงหาคม 2008
โดย ฐปน วันชูเพลา


??เรือนธรรม?บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ


อาคารขนาดสามคูหา เลขที่ 290/1 ถนนพิชัย เขตดุสิต ครั้งหนึ่งเคยเป็นสำนักงานของ GM GROUP สื่อแถวหน้าของไทยในกลุ่มนิตยสารที่เจาะตลาดชายหนุ่มวัยทำงาน แต่ปัจจุบันนับเวลา 5 ปีเศษที่อาคาร ?พงศ์วราภา? แห่งนี้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ใฝ่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมด้วยชื่อ ?เรือนธรรม? บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ

เรือนธรรม และจีเอ็ม กรุ๊ป ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัท จีเอ็ม มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) ไม่ได้เกี่ยวดองกันเพียงชื่ออาคาร อันเป็นนามสกุลของคุณปกรณ์ พงศ์วราภา ประธานกรรมการ บริษัทจีเอ็มฯเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ก่อตั้งบ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะแห่งนี้ ยังเป็นภรรยาของนายใหญ่ค่ายจีเอ็มที่ชื่อว่า คุณพรจิตต์ พงศ์วราภา

นักอ่านหนังสือธรรมะย่อมผ่านตามาบ้างกับพ็อกเก็ตบุ๊คปกสีหวาน อ่านง่าย เพลิดเพลิน หลักธรรมถูกซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ที่ชื่อว่า ธรรมะรอบกองไฟ, ช็อปปิ้งบุญ และธรรมะเอกเขนก ทั้งสามเล่นเป็นผลงานเขียนของ ?ขวัญ เพียงหทัย? อันเป็นนามปากกาของคุณพรจิตต์

คุณพรจิตต์เริ่มสนใจธรรมะราวปี 2533 และได้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งปี 2544 หรือ 11 ปีต่อมา จึงได้เขียนหนังสือธรรมะเล่มแรกชื่อ ?ธรรมะรอบกองไฟ? ด้วยเหตุผลที่ว่าพอรู้แล้วก็อยากถ่ายทอดให้คนอื่น โดยนำเสนอลักษณะเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง เหมือนเวลาเข้าค่ายก็จะมีการนั่งล้อมวงรอบกองไฟ แล้วเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง เป็นธรรมะสนุกๆ ส่วนเรือนธรรมนั้นเปิดไล่หลังธรรมะรอบกองไฟไม่กี่ปี

เรือนธรรมเปิดให้บริการห้องหนังสือระหว่างวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ เวลา 09.30-17.00 น. เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาค้นคว้าศึกษาหลักธรรมคำสอน เบิกบานในธรรม และนำมาใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน โดยได้รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ, หลวงพ่อปัญญานันทะ, หลวงพ่อชา สุภัทโท และอาจารย์วศิน อินทสระ ไว้อย่างครบครันทั้งในรูปของหนังสือและเทป เช่น เทปคำบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่มีมากถึงกว่าสองพันม้วน

เรือนธรรมยังจัดการอบรมธรรมะเป็นประจำสัปดาห์ละ 4 วัน...วันพฤหัสบดี เวลา 13.00-15.00 น. เป็นพระอภิธรรม โดยพระอาจารย์ทวี เกตุธมฺโม, วันศุกร์ เวลา 13.00-15.00 น. เป็นพระอภิธรรม โดยพระอาจารย์มหาบุญช่วย ปัญญาวชิโร, วันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา 09.30-15.00 น. เป็นบรรยายธรรมะโดย อาจารย์บุญณัฐศักดิ์ ทวิพัฒน์ (ช่วงเช้า : จิตปรมัตถ์, ช่วงบ่าย : เจตสิกปรมัตถ์)

คอร์สอบรมสมาธิเบื้องต้น เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากของเรือนธรรม เพราะเป็นคอร์สเหมาะสำหรับผู้เริ่มใหม่ในการปฏิบัติที่ถูกต้องและไม่มีค่า ใช้จ่าย แต่ต้องสำรองที่ล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือน โดยจัดเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งผู้อบรมต้องเข้ามาใช้ชีวิตในเรือนธรรมตั้งแต่วันศุกร์ หนึ่งทุ่ม จนถึงวันอาทิตย์ บ่ายสี่โมง สำหรับเดือนกันยายนจะมีขึ้นในวันที่ 12-14 เป็นอบรมสมาธิเบื้องต้นระดับ 1 และวันที่ 26-28 เป็นอบรมสมาธิเบื้องต้นระดับ 2 ซึ่งจะมีทุกๆสามเดือน เปิดรับเฉพาะผู้ที่ผ่านระดับ 1 มาแล้ว

คอร์สอบรมยังมีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วย เพื่อรองรับผู้สนใจปฏิบัติธรรมชาวต่างชาติหรือคนไทยที่สนใจภาษาอังกฤษ อบรมโดยอาจารย์กัญญา วรเนตร ซึ่งเคยสอนอยู่ที่สวนโมกข์ แต่คอร์สอบรมอานาปานสติภาษาอังกฤษนี้จัดเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 09.00-17.00 น. เป็นแบบเช้าไปเย็นกลับ ไม่ต้องพักค้างคืน หากสนใจก็โทรศัพท์ติดต่อกับอาจารย์กัญญาโดยตรงที่เบอร์ 08-1402-7996

กิจกรรมน่าสนใจอื่นๆที่เรือนธรรมก็มี หัวเราะเพื่อสุขภาพ โดยอาจารย์กสานติ์ วณิชชานนท์ จัดขึ้นเกือบทุกวันเสาร์ ยกเว้นเสาร์แรกของเดือน ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น. และการฝังเข็มเพื่อสุขภาพและรักษาโรค (รักษาฟรี) โดยพลตรีนายแพทย์วิวัฒน์ ศุภดิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00-17.00 น. ซึ่งมีเตียงนอนฝังเข็มสบายๆ ฝังแล้วหลับไปเลย ประมาณ 20 นาทีคุณหมอก็จะดึงเข็มออก บางเดือนเห็นมีคอร์สสอนโยคะของ อาจารย์สุนทร พรหมมินทร์ด้วย

กำหนดเวลาและโปรแกรมมีการเปลี่ยนแปลงได้ ควรโทรศัพท์สอบถามก่อนที่หมายเลข 0-2244-8292 หรือเข้าไปอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ที่เว็บไซต์ www.ruendham.com ซึ่งจะมีการอัพเดทโปรแกรมกิจกรรมทุกเดือน

ภายในเว็บไซต์เรือนธรรมยังบรรจุไฟล์หนังสือทุกเล่มของขวัญ เพียงหทัย และหนังสือธรรมะดีๆอีกหลายเล่ม เช่น หลวงพ่อชา สุภทฺโท, หลวงปู่ดูลย์ อตุโล, หลวงพ่อพุทธทาส, พระอาจารย์มานพ อุปสโม, พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช, ,พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส และอาจารย์วศิน อินทสระ ให้เปิดอ่านฟรี รวมถึงไฟล์เสียงธรรมเทศนาของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช นอกจากนี้ขวัญ เพียงหทัย ยังเรียนเชิญอาจารย์วศินมาตอบปัญหาธรรมะในห้องสนทนาธรรมด้วย

เรือนธรรมตั้งอยู่ริมถนนพิชัย มีรถเมล์สาย 70 ผ่าน ต้นสาย 70 อยู่ที่สนามหลวง หน้าวัดมหาธาตุ หรือขึ้นป้ายตรงข้ามหน้าธรรมศาสตร์ก็ได้ หากมาด้วยรถเมล์สายอื่นๆก็ลงที่พระบรมรูปทรงม้า แล้วต่อสาย 70 แต่ถ้าตั้งต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้ขึ้นสาย 14 ที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี รถจะวิ่งบนถนนราชวิถี, พระราม 6 และนครไชยศรี ผ่านตลาดราชวัตร ข้ามสะพานราชวัตร วิ่งตรงสู่สี่แยกพิชัย จะลงก่อนหรือข้ามแยกไปแล้วก็ได้ หากลงก่อน ก็เดินทางไปทางขวามือของแยก เรือนธรรมอยู่ฝั่งขวามือ เลยปั๊มน้ำมันตราดาว ถ้าขับรถยนต์มาเอง สามารถจอดรถได้ทั้งสองฝั่ง

ผมชอบอันนี้
ขอให้ทุกๆคนมีความสุขครับ

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หงุดหงิดๆๆๆๆๆ -*-



วันนี้พาสองไปตัดผม คงด้วยตั่งใจว่าตื่นมาแล้วจะไปเปิดคอมฯเล่น แต่ถูกตัดกระแสด้วย ไปๆตัดผมกัน.....อาจเป็นตัวจุดความไม่ค่อยชอบใจแล้วเริ่มออกอาการไปเรื่อย ไปถึงร้านช่างผมตัดไปได้พักหนึ่ง เริ่มมีเสียงบ่นๆๆๆๆๆหน้าตาเริ่มหงุดหงิด.....อืม?????? อะไรทำให้คนเราเป็นแบบนี้

การศึกษาพบว่า การโกรธนั้นไม่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน บางคนอาจจะแค่โกรธชั่วครั้งชั่วคราว แต่บางคนมันเป็นอาการถาวร เรียกว่าเป็นลึกถึงขั้น ขี้หงุดหงิดเชิงทัศนคิ ขี้โมโห จะเสี่ยงต่ออายุการใช้งานของหลอดเลือดแดง อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และระบบภูมคุ้มกันเสื่อม (สารพัดเลยเห็นไหมครับ) และจะเป็นปัญหาสุขภาพได้ตามนี้ครับ http://www.swu.ac.th/royal/book6/b6c4t3.html




คนที่หงุดหงิดง่ายเพราะมีข้อมูลกิเลสด้านโทสะมาก และมักจะคิดโกรธผู้อื่นได้โดยง่าย เช่นคนที่มีข้อมูลด้านการบ่นมาก มักจะคิดบ่นอยู่ในใจเสมอและบ่นได้ง่าย ยิ่งคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกจะเกิดต่อยอด
การรู้เห็นความคิดอกุศลที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจได้เร็ว ก็จะสามารถดับความคิดนั้นได้เร็วเช่นกัน แนะนำวิธีเจริญสติ โดย เอกชัย จุละจาริตต์
ติช นัท ฮันห์ บอกว่า"ปาฏิหาริย์แห่งการตืนอยู่เสมอ มิใช่การที่ลืมตา และตืนขึ้น อย่างวันวาน แต่ เป็นการ ตื่น ทีรับรู้ได้เสมอ ว่ากำลังทำสิ่งใด ตื่น และรับรู้ถึงลมหายใจทียังคงอยู่ เป็นการตื่น ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เป็นการตื่นของ สติรับรู้ รับรู้ซึ่งปัจจุบัน รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังสัมผัส กำลังยินเสียง และกำลังแลเห็น และสิ่งทีรับรู้นั้น คือของขวัญอันล้ำค่าที่สุดในชีวิต"
-พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)นักปราชญ์องค์สำคัญองค์หนึ่งของเมืองไทย ปัจจุบันบอกว่า"วาสนาสร้างเองได้" เพราะความหมายที่แท้จริงของ- คำว่าวาสนาคือ นิสัยๆ ก็คือสิ่งที่เราทำบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน และความเคยชินหรือนิสัยมีความสำคัญมากต่อชีวิตคนเรา
เพราะคนเราส่วนมากทำสิ่งต่างๆ ตามความเคยชิน ความหงุดหงิดของคุณก็เป็นความเคยชิน เป็นนิสัยที่คุณสร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นคุณต้องสร้างความเคยชินที่ดีบ่อยๆ จนเป็นนิสัย แทนความหงุดหงิด- สภาพจิตที่ดี ทีทุกคนควรสร้างไว้ในจิตใจเสมอๆ ตลอดเวลา คือ-ความร่าเริงเบิกบานใจ,ความอิ่มเอิบใจ,ความสงบเย็น การผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด,ความโปร่งโล่ง คล่องใจ สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้นหรือคับข้อง, ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ ไม่มีอะไรมากวนจิต
-ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ มนุษย์ที่ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนษย์ พระพรหมคุณาภรณ์บอกว่า คนเราเกิดมาไม่ได้เป็นสัตว์ประเสริฐได้เลย ต้องฝึกฝน ต้องพัฒนา ต้องศึกษา ตรงกันข้าม คนเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ่ที่สุด ต้องใช้เวลายาวนานในฝึกตน กว่าจะพึงตัวเองได้ ต่างจากสัตว์ส่วนมากพอเกิดก็เดินได้ช่วยตัวเองได้ แต่ความวิเศษของคนก็คือเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และต้องฝึก เมื่อฝึกตนดีแล้ว สามารถสร้างสิ่งต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการ เทคโนโลยี ทุกอย่างในโลกเกิดได้เพราะ คนที่มีตนอันฝึกดีแล้วทั้งสินครับ
ที่มา:
-The Miracle of Being Awake by Thich Nhat Hanh แปลโดย พระประชา ปะสันนะธัมโม
-วาสนาสร้างเองได้ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)

นัก ดนตรีบำบัดได้ทำการวิจัยไว้ สรุปออกมาได้ความว่า ดนตรีคลาสสิกเนี่ยรักษาโรคได้เลิศสุด ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงของโมสาร์ต บาค ปีโธเฟ่น โชแปง เป็นต้น แต่อย่าถามว่าทำไมนะครับ เพราะผลการรักษาที่ได้มาจากการสังเกตอาการที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นของคน ไข้ ไม่ใช่การทดลองทางวิทยาศาสตร์
บทเพลง ดนตรีบำบัดที่ผมจะทยอยเอามาลงเนี่ย บอกคร่าวๆก่อนว่าสามารถรักษาโรคทางด้านประสาทเป็นส่วนใหญ่ เช่น หงุดหงิด อารมณ์เสีย โกรธง่าย เก็บกด นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวนง่าย จิตตก นอกจากนี้ยังสามารถรักษา โรคความดันสูง ระบบการย่อยอาหารไม่ดี (กระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ) แก้ปวด ขจัดความอ่อนเพลีย เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง และทำให้อารมณ์เบิกบาน (สรรพคุณเยอะอย่างกับยาเม็ดครอบจักรวาลเลย)
เอน ทรี่นี้เริ่มจากโรคอารมณ์เสีย หงุดหงิด โกรธง่าย ก่อนละกันครับ จะเฉลิมฉลองกันทั้งทีก็ต้องมีจิตใจที่เบิกบานก่อน
อาการ แบบนี้ต้องใช้Moonlight ของ ปีโธเฟ่นครับ ฟังทุกวันสักสองอาทิตย์นะครับ แล้วลองถามคนรอบข้างดูว่าฉันเปลี่ยนไปไหม อันนี้จาก http://aunlamun.exteen.com/20061222/music-therapy-1 น่าสนใจนะครับแวะไปดูได้เผื่ออะไรที่เป็นโรคจะได้หายๆไปแล้วดีขึ้น
สำหรับผมๆว่าเป็นเพราะ ความไม่สมดุลกันไม่ว่าด้านไหนทั่งนั่น หมายถึงสภาพจิตและกายที่ไม่สอดคล้องกัน การวางใจไม่ได้และการไม่ยอมรับสิ่งที่เป็น หรืออาจมาจากอาหารก้อได้นะครับ

ขอตบท้ายด้วย

ความโกรธมักเกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่กันทั้งนั้นเมื่อไม่ได้สิ่ง ที่เขาต้องการหรือผิดหวังจากสิ่งที่เขาไม่คาดคิด ถ้าเกิดขึ้นอาจทำให้ลืมตัวทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงหากคุมสติไม่อยู่ เพราะขาดความอดกลั้นย่อมเป็นปัญหาแน่นอนค่ะ คุณแม่ คุณแม่คงต้องหาวิธีให้ลูกได้ฝึกระบายอารมณ์โกรธของเขาให้โกรธเป็น นั่นก็คือ โกรธให้ถูกวิธี เด็กในวัยนี้เขาอยากเป็นที่รักเป็นที่สนใจของผู้ใหญ่ จึงเกิดความเครียดจากการที่อยากทำอะไรให้เป็นไปตามความคาดหวังของพ่อแม่ พอไม่เป็นอย่างที่คิดก็เกิดความกดดัน เกิดความเครียดและแสดงอาการออกมา
ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรคาดหวังกับลูกให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการมากเกินไป หากลูกกำลังแสดงอารมณ์โกรธออกมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะไม่ฟังใครทั้งนั้น ก็คงต้องรอเวลาจนลูกอารมณ์เย็นสักพัก จึงค่อย ๆ พูดหรือแนะนำ เมื่ออารมณ์เย็นลงอาจให้ลูกอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาว่าโกรธอะไร เพราะอะไร และเรื่องอะไรจึงทำให้โกรธ หรือ คุณแม่อาจใช้วิธีการสัมผัสจากแม่ เช่น ตบไหล่เบา ๆ ลูบหลัง จะทำให้เขาสงบ หลังจากนั้นให้เขานับ 1-10 จนกว่าอารมณ์จะสงบ เป็นการฝึกสติให้เขารู้ตัวเอง หรือหากลูกโกรธมากจนอยากทำร้ายผู้อื่น ควรฝึกให้ลูกรู้จักอดกลั้นโดยหาทางระบายความโกรธทางอื่นที่ไม่เป็นอันตราย ต่อตัวเองและผู้อื่น เช่น ใช้ดินสอขีดเขียนแรง ๆ ลงไปที่กระดาษให้สาแก่ใจ กระโดดลอยตัวกระทืบเท้า ต่อยลงกระสอบทราย (ถ้ามี) ตะโกนร้องเพลงดัง ๆ ฯลฯ และหากลูกมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นหรือขว้างปาข้าวของ คุณแม่ต้องหาวิธีการจัดการให้เขาหยุดพฤติกรรมดังกล่าว หรืออาจลงโทษเพื่อให้รู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง แต่ต้องไม่ใช้อารมณ์ คุณแม่อาจจับแขน ทั้งสองข้างพร้อมกับบอกลูกด้วยเสียงนุ่มนวลไม่ดุด่าเกรี้ยวกราด ลูกไม่ควรทำเช่นนี้ มีอะไรให้พูดหรือบอกตรง ๆ และหากทำเช่นนี้ลูกอาจมีผลกระทบจากสังคมอย่างไร และแม่ไม่ชอบที่ลูกแสดงอาการเช่นนี้ มีอะไรให้พูดกันดี ๆ ด้วยเหตุผล สุดท้าย คุณแม่อาจต้องหันมาดูตัวเองสักหน่อยว่าคุณแม่เป็นคนขี้โมโห ใจร้อนโกรธง่ายไหม เพราะพฤติกรรมของลูกย่อมมีการเลียนแบบพ่อแม่ แบบลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นไงคะ …

ตอบโดย นางอรรำไพ วินทะไชย สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

ที่มา เว็บไซต์สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

และบางคนเป็นโรค

โรคอารมณ์แปรปรวน โรคแมเนีย-ซึมเศร้า (Bipolar disorder or Manic-depressive disorder)

นายแพทย์ฐานันดร์ ปิยะศิริศิลป์

คำจำกัดความ

ลักษณะสำคัญของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยมีความผิดปกติของอารมณ์เป็นอาการสำคัญ โดยอารมณ์ที่ผิดปกตินั้นอาจเป็นอารมณ์เศร้าหรืออารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิด ปกติ ร่วมกับอาการอื่นของโรคซึมเศร้า หรือโรคแมเนียโดยไม่มีโรคทางกาย โรคของสมอง หรือพิษจากยาเป็นสาเหตุของอาการดังกล่าว

โรคอารมณ์แปรปรวน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. Depressive Disorders มีอารมณ์เศร้าเป็นอาการหลักร่วมกับอาการอื่น ๆ

2. Bipolar Disorders มีอารมณ์สนุกสนานแบบ Mania เป็นอาการหลัก และมักมีหรือเคยมีอาการของโรคซึมเศร้า

อาการ

โรคซึมเศร้า มีอาการสำคัญ ๆ ดังนี้

² อารมณ์เศร้า ผู้ป่วยรู้สึกใจคอหดหู่ เศร้าหมอง ไม่มีชีวิตชีวา รู้สึกไม่แจ่มใส อารมณ์เศร้านี้จะเป็นติดต่อกันหลายวันถึงเป็นสัปดาห์

² อารมณ์หงุดหงิดโกรธง่าย ผู้ป่วยรู้สึกหงุดหงิดง่ายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนบ่อย ๆ

² ความรู้สึกเบื่อและหมดความสนใจ ผู้ป่วยรู้สึกเบื่อและหมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้รู้สึกดี เช่น ไม่อยากดู TV ไม่อยากไปดูภาพยนตร์ ไม่อยากคุยกับเพื่อนหรือญาติ ไม่อยากไปเที่ยว เป็นต้น

² อาการเบื่ออาหาร ผู้ป่วยรู้สึกเบื่อ ไม่รู้สึกอยากอาหาร กินอาหารน้อยลงจนน้ำหนักลด

² นอน ไม่หลับ ระยะแรกอาจจะหลับยาก นอนหลับไม่สนิท ฝันร้าย หรือตื่นบ่อย เมื่อเป็นมากขึ้น อาจตื่นกลางดึก ตีหนึ่ง ตีสอง หรือตื่นเช้ามืด หลับต่อไม่ได้ เป็นทุกคืน

² อาการอ่อนเพลีย ผู้ ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย โดยไม่มีสาเหตุทางร่างกายชัดเจน

² ความคิดเชื่องช้า การเคลื่อนไหวตลอดจนการพูดจาเชื่องช้าลง รู้สึกไม่กระตือรือร้น ต้องฝืนใจทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การพูด การแต่งตัว การทำงาน เป็นต้น

² สมาธิเสีย ความจำไม่ดีและลืมง่ายเป็นอาการสำคัญ อ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้ ไม่มีสมาธิในการทำงาน

² ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ผู้ป่วยรู้สึกตัวเองไม่มีค่า หรือหมดความสำคัญต่อครอบครัว เพื่อนร่วมงาน

² ความคิดอยากตาย เมื่อเศร้ามาก ๆ ผู้ป่วยจะคิดอยากตายและพยายามฆ่าตัวตาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจฆ่าตัวตายสำเร็จ

โรค Bipolar Disorder ระยะ Mania Episode มีอาการดังนี้

² มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ หรือมีอารมณ์หงุดหงิดโกรธง่าย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย

² อาการนอนไม่หลับ อาจหลับยาก ตื่นบ่อย หรือนอนไม่หลับเลย ผู้ป่วยจะลุกขึ้นมาทำงานต่าง ๆ วุ่นวาย โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย

² มีอาการพูดมาก พูดเร็วและส่งเสียงดัง

² ไม่มีสมาธิ สิ่งกระตุ้นจากภายนอกจะเบนความคิดให้ออกนอกเรื่องได้ง่าย

² มีการเคลื่อนไหวและมีกิจกรรมมากผิดปกติ ผู้ป่วยจะพูดคุยกับคนทั่วไปแม้ไม่รู้จักกัน ชอบออกนอกบ้านไปพบเพื่อนหรือญาติพี่น้องบ่อยผิดปกติ

² ความคิดเปลี่ยนเรื่องเร็ว ผู้ป่วยมีความคิดหลาย ๆ เรื่อง เกิดขึ้นรวดเร็ว และแสดงออกโดยการพูดมากและเร็ว

² มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นผิดปกติ

² การตัดสินใจไม่ดี เช่น ใช้เงินเปลืองและซื้อของมากผิดปกติ ลงทุนในกิจการต่าง ๆ อย่างไร้เหตุผล

² รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญมากผิดปกติ มีความสามารถพิเศษ ร่ำรวยมาก ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

² ถ้าอาการมาก อาจมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอนร่วมด้วย

การดำเนินของโรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการประมาณ 6 - 9 เดือน เมื่ออาการของโรคสงบลง มักจะสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่จะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก จึงอาจต้องใช้ยาทางจิตเวชควบคุมอาการ เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำ

การรักษา

ยาทางจิตเวช มีความสำคัญมากในการรักษาโรคกลุ่มนี้ ปัจจุบันมียารักษาอารมณ์เศร้าหลายชนิดที่ให้ผลการรักษาดี รวมทั้งยาควบคุมอารมณ์แปรปรวนในการรักษาผู้ป่วย Bipolar Disorder ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยยาประมาณ 6 - 9 เดือน

จิตบำบัดและครอบครัวบำบัด ตามสภาพปัญหาส่วนตัวและครอบครัวของผู้ป่วย

เอกสารอ้างอิง

w สมภพ เรืองตระกูล, ตำราจิตเวชศาสตร์ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เรือนแก้ว, 2542

w มาโนช หล่อตระกูล, ปราโมทย์ สุคนิชย์, จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี กรุงเทพมหานคร : สวิชาญการพิมพ์,

2544

ความรู้เรื่องโรคทางจิตเวชและปัญหาพฤติกรรม

<ห้องรับแขก

คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม 10300 โทร. 0-2243-2142 0-2668-9435

เอ.....ทีนี้จะตัดสินใจว่าใช่โรคหรือเปล่านี้ทำไง?????
ดูนี่หน่อยดีกว่า

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do