วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฝึกการ คิดให้จิตเป็นสุข

จาก http://reocities.com/Area51/jupiter/6217/33think.html แต่ขออนุญาตินำเรื่องราวมาบันทึกไว้ที่นี่ครับ เพราะผมเป็นคนนึงที่เชื่อในพลังความคิดของตัวเอง "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปลว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน "


มารู้จักการคิด และความคิดคืออะไร
คนเราทุกคนย่อมรู้จักใช้ความคิดด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างกันแต่ว่าบางคนไดใช้ความคิดของเขาไปในทาง
สร้างสรรค์หรือไม่ เช่น ใช้ความคิดในทางสร้างฐานะตนเอง คิดแสวงหาหนทางที่จะก้าวหน้าต่อไป คิดหาทาง
เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต แต่ก็มีบางคนใช้ชีวิตของเขาไปอย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย คิดสร้างวิมานใน
อากาศ ในทางที่ไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้ หรือคิดไปในทางที่ความรู้ความสามารถของตนไม่อาจจะก่อให้เกิด
ผลอย่างใดขึ้นมาได้ การใช้ความคิดทำนองนี้ จึงเป็นความคิดที่ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
การรู้จักคิดและฉลาดคิดในสมองคน โดยธรรมชาติจะเกิดขึ้นเอง แต่ก็เป็นสิ่งที่อาจจะสร้างให้เจริญงอก
งามขึ้นได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นเดียวกับการปลูกต้นไม้ด้วยเมล็ดพืชและเป็นสิ่งที่ควรพยายามสร้าง คุณสมบัติ
นี้ให้มีขึ้นในคนไทยอย่างเต็มความสามารถทุกทางและสิ่งหนึ่งที่ช่วยปลูกฝัง ให้เกิดการรู้จักคิดและความฉลาด
คิดให้แก่คนได้อย่างดีที่สุด ก็คือหนังสือ นั่นเอง
จะเห็นว่าการรู้จักคิดและฉลาดคิด ก็สามารถสร้างได้เปรียบได้กับคนที่มีวิชาความรู้ หรือฉลาดสักปานใด
ก็ตามหากขาดการรู้จักคิดและฉลาดคิดเสียอย่างหนึ่งก็เหมือนกับคนอื่นที่ฉลาด เพียงแต่รู้จักใช้ธนบัตรให้ได้
ประโยชน์ตามมูลค่าของเงินที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่ก็ไม่ถึงกับจะสามารถใช้ธนบัตรให้เกิดผลประโยชน์งอกงาม
ไปกว่าค่าของมันได้

ความคิดคืออะไร
มีข้อมูลจากผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจและงานวิจัยทางจิตของคนเราที่ยืน ยันได้ว่าการทำงาน ของ จิตใจ
ของเราบางประการที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ก็คือ
จิตใจหรือความคิดของเรานั้น เปรียบได้กับแม่เหล็กแท่งหนึ่งที่ทำหน้าที่ 2 ประการ คือ
1. นำชีวิตของเราให้ไปหาสิ่งที่เราคิดอยู่เสมอ หลักการข้อนี้ คือ "จงคิดถึงอะไรสักอย่าง แล้วชีวิตเราก็จะ
เคลื่อนเข้าไปหาสิ่งนั้น" ชีวิตของเรามักจะโน้มเอียงไปสู่สิ่งที่เราคิดถึงมากที่สุดเสมอแม้ว่าสิ่ง นั้น จะเป็น สิ่งที่
เราชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
2. ดึงดูดสิ่งที่มีความคิดคล้ายเราให้เข้ามาหาเรา หลักการข้อนี้ คือ "จงคิดถึงอะไรสักอย่างแล้วชีวิต
ของเราจะเคลื่อนเข้าหาสิ่งนั้น" นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตโดยการหมั่นพูดกับตัวเองคิดกับตัวเอง
อยู่เสมอ ถึงความรู้สึกด้านบวกต่าง ๆ เช่น
- ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง เราก็จะรู้สึกมั่นใจในทุกสิ่งที่เราทำ
- ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่มีความสามารถ เราก็จะรู้สึกได้ถึงความสามารถของตัวเอง
แต่เรามักจะลืมไปว่า ถ้าเราคิดถึงสิ่งใด ชีวิตเราก็จะเคลื่อนไปถึงสิ่งนั้นแม้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่
ต้องการและไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ตาม เช่น ถ้าเรามัวแต่คิดว่าเราเป็นคนที่อ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ
เราก็มักจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แต่ถ้าเรากำลังคิดอยากจะได้ความช่วยเหลือจากใครสักคน แล้วจู่ ๆ ก็มีคนที่เราไม่คาดฝันมา ช่วย
เหลือเรา
บางครั้งเรารู้สึกว่า จิตใจของเรานั้นเบิกบาน แจ่มใส มองอะไรก็เป็นไปในทางบวกเราก็รู้สึกว่า เราได้
เจอกับเหตุการณ์หรือบุคคลที่ทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเราเข้าใจการทำงานของจิตใจของเราที่ไม่สามารถสร้างภาพปฏิเสธขึ้นในสมอง ได้เช่นนี้แล้วเราจึง
ควรจะต้องพิจารณาความคิดและคำพูดของเราเองที่อาจมีอิทธิพลต่อตัวเราเองและ ผู้อื่น ฉะนั้น ท่านคงจะ
เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ความคิด ก็คือ ต้นกำเนิดของการกระทำ" นั่นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ ดังนี้
การคิด หมายถึง กระบวนการทำงานของจิตใจมนุษย์ ในขณะที่กำลังพยายามหาคำตอบ หรือ
ทางออกเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ความคิด หมายถึง ผลของกระบวนการคิดนั้น
การคิดเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจพัฒนาให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้นได้ โดยการฝึกคิดอยู่เสมอ คนที่มี
ทักษะในการคิดสูง ย่อมมีความคิดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ และจะช่วยสร้างสรรค์สิ่ง
ที่เป็นคุณประโยชน์แก่มนุษย์
การกระทำของคนเราเกิดจากความคิด หากคิดไม่ดี คิดร้าย มองโลกในแง่ร้ายจะก่อให้เกิด ความ
เดือดร้อนแก่ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ทำให้สังคมขาดความสงบสุข

ความคิดนั้นสำคัญไฉน
ท่านทราบแล้วว่า ความคิดก็คือต้นกำเนิดของการกระทำ หรือการกระทำของคนเราเกิดจากความคิด
นั่นเอง ฉะนั้น ถ้าเราคิดดี มองโลกในแง่ดี คิดปฏิบัติคิดทำแต่สิ่งที่ดีก็จะมีความสุข ในทางตรงข้าม ถ้าคนเรา
คิดไม่ดี คิดร้าย มองโลกในแง่ร้าย ก็จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนต่อ
สิ่งแวดล้อม ทำให้สังคมขาดความสงบสุขได้
แน่นอนทีเดียว ธรรมชาติได้อำนวยมันสมองให้คนเราได้ใช้ความคิดอ่านทำงานต่าง ๆ มากมายแต่ถ้าเรา
ปล่อยให้สมองของเราหลับนิ่งอยู่ มันก็จะหลับนิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปลุกให้มันตื่นขึ้นเมื่อใด มันก็จะ
ตื่นได้เมื่อนั้น
ความคิดของคนเรานั้นเคลื่อนไหวไปมารวดเร็วยิ่งกว่ากระแสไฟฟ้าที่เดินในเส้น ลวด ความคิดอันหนึ่ง
ผุดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้ว ความคิดอีกอันหนึ่งก็ผุดขึ้นอีก ในชั่วนาทีเดียวความคิดของเราจะผุดขึ้นร้อยแปดพัน
ประการ การคิดเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด เพราะผู้รู้จักคิดจะรู้จักตัวเองว่า วันนี้และขณะนี้
เขาเองกำลังทำอะไร เขากำลังสร้างอนาคตด้วยคุณภาพความคิดของเขา เขารู้ว่าทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นล้วน
เริ่มที่ความคิดและรู้ว่าอำนาจของความคิดเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เราควรเปิดใจให้กว้างอยู่เสมอ เพื่อสังเกต เพื่อพิจารณาเพื่อค้นหากุญแจ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่สำหรับไข ปัญหา
ชีวิต เราควรคิดว่าจิตใจของเราก็เป็นเช่นโรงงาน และเราควรจะป้อนวัตถุดิบให้ เพื่อผลผลิตอันดับเลิศ วัตถุ
ดิบนั้น ได้แก่ ข้อเท็จจริง ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อความคิดต่าง ๆ จะได้เกิดขึ้น
เราใช้พลังของจิตใต้สำนึก และปล่อยให้มันแสดงตนออกมาในรูปความคิดต่าง ๆ ในเวลาหลับ และเรา
ก็รู้ว่าความคิดนั้นเติบโตได้ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่งอกงามอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
เราจะหลีกเลี่ยงความคิดแง่เดียวที่คับแคบ แต่เราจะส่งความคิดของเราออกไปทุกทิศทาง เพื่อขยายขอบ
เขตของจิตใจให้กว้างขวาง
เราจะพยายามสร้างจิตใจที่สำรวม และสร้างความคิดต่าง ๆ ด้วยความอ่อนโยนและด้วยความรู้สึก
อ่อนน้อมต่อคนอื่น เราจะไม่จำกัดขอบเขตแห่งความคิดของเราเอง เราซึ่งรู้ว่า การคิดที่กว้างขวางจะนำมา
สู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ธรรมชาติได้มอบให้คนเราได้เลือกทางเดินชีวิต และกำหนดชีวิตของเราเอง เพื่อ
ก้าวเดินไปในแนวทางซึ่งเราได้คิดและเลือกอย่างฉลาดและถูกต้องที่สุด
ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งซึ่งไม่มีตัวตน แต่สามารถรู้ความคิดของบุคคลต่าง ๆ ได้เมื่อบุคคลนั้นแสดง
ความคิดออกมาเป็นการกระทำ
อาจกล่าวได้ว่า การคิดนั้นมีทิศทางของมัน มีทั้งคิดในทางลบและคิดในทางบวกการคิดในทางบวกถือว่า
เป็นทิศทางการคิดที่เป็นคุณประโยชน์ ดังนั้น การคิดที่เป็นคุณประโยชน์ ดังนั้น การคิดที่เป็นคุณประโยชน์จึง
เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง การคิดที่เป็นคุณประโยชน์นั้นต้องตั้งใจให้มั่นคง มีความเป็นกลาง มีความจริงใจคิดตรง
ตามเหตุและผลที่ถูกต้องและเป็นธรรม
ทิศทางในการคิดที่เป็นประโยชน์มีหลายอย่าง เช่น คิดช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันประกอบกิจที่
เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ คิดหาทางป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่ตนเองและประเทศชาติ คิดหาวิธีที่จะ
ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข เมื่อมีทิศทางในการคิดที่เป็นประโยชน์ ผลของการกระทำก็จะก่อ
ให้เกิดประโยชน์สุข ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการพัฒนาความคิด
ความสุขเป็นยอดปรารถนาของทุกคน คนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรใช้สติปัญญาไปในการคิดที่จะ
ทำให้เกิดสุข ซึ่งก็คือ ทิศทางของการคิดที่เป็นประโยชน์นั่นเอง

คิดดีคิดชอบ

จากแผนภูมิข้างบนนี้ เราจะเห็นว่า การคิดเกิดจากสติปัญญา คือ การมีความรู้ ความเฉลียวฉลาดแล้วสั่ง
ให้คิดที่จะกระทำในสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็จะมีความสุข หากประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่
ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็จะมีความทุกข์ ดังมีรายละเอียดดังนี้
คิดดี คิดชอบ
คนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่แล้ว คือ คนที่มีความคิดด้านดีหรือด้านบวกกับ
ตัวเอง และกับผู้อื่นอยู่เสมอ คนที่มีความคิดด้านดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่นนั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
1. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
2. มีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง
3. มีความคิดสร้างสรรค์สูง และที่สำคัญที่สุดจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเห็นว่าตัวเองมีคุณค่ามีความสามารถ
มีความภูมิใจ
และพึงพอใจในตัวของตัวเอง มีความมั่นใจในการกระทำต่าง ๆ ของตนเองโดยไม่ต้องรอพึ่งผู้อื่น
บุคคลผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น จะสามารถทำการงานต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปได้ง่ายกว่าบุคคลผู้ที่ขาด
ความเชื่อมั่นในตนเองมากมาย การทำงานของเขาจะไม่ติดตะกุกตะกัก ความเชื่อมั่นในตนเองสามารถสร้าง
ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1. สำรวจตัวเองว่ามีความบกพร่องอะไร การรู้ความบกพร่องของตัวเองจะช่วยให้ตนเองคิดหาทางปรับปรุงแก้ไขที่จะทำให้ ไม่เกิดข้อบกพร่องนั้น ๆ
ต่อไป สมดังคติไทย ๆ ว่า "ผิดเป็นครู"
2. ฝึกหัดแก้ไขอุปสรรคทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยไป คนที่มักย่อท้อ ทำอะไรไม่สำเร็จนั้น ต้นเหตุสำคัญ
อันหนึ่ง ก็คือ เขาต่อสู้กับอุปสรรคใหญ่นั้นทันทีทันใด แต่ผู้ฉลาดและมีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น หากเขา
เห็นอุปสรรคใหญ่โตเกินกำลัง เขาจะค่อย ๆ เอาชนะอุปสรรคนั้นทีละน้อย ทีละน้อย จนสำเร็จในที่สุด มี
ภาษิตบทหนึ่งที่กล่าวรับความจริงข้อนี้ คือ "ผู้ที่สามารถจะยกภูเขาได้ จะต้องเป็นผู้ขนหินภูเขานั้นไปตาม
กำลังตนทีละก้อน"
3. เมื่อท่านต้องการจะแข่งขันกับคนใดคนหนึ่ง จงแข่งขันกับตนเอง นักกีฬาที่สามารถลบสถิติได้นั้น มักเป็นนักกีฬาที่ทำลายสถิติของตนเอง นักขายของที่ดีจริง ๆ จะเป็นนักขายของที่ทำลายสถิติจำหน่ายที่
ตนเองได้ทำไว้ ฉะนั้น การสร้างนิสัยเชื่อมั่นในตนเองนั้น วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ก็คือ จงแข่งขันกับตัวของ
ตัวเอง
4. ให้เวลากับตัวเองตามสมควร คนบางคนมักจะเร่งรัดตัวเองจนเกินไป ย่อมทำให้พบข้อบกพร่องและ
อุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ทำให้ไม่บรรลุผลสมดังความมุ่งหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ความท้อแท้ใจก็จะเกิดขึ้น ทำให้เป็นคนขาดการเชื่อมั่นในตนเอง ฉะนั้น ในการที่จะให้บรรลุจุดหมายใด ๆ เราจะต้องให้เวลากับ
ตนเองพอสมควร
5. จงทำให้เกิดการท้าทายแข่งขันเสมอ คนเราถ้าทำงานเป็นไปอย่างปกติธรรมดา จิตใจก็มักจะเฉื่อย ๆ
เรื่อย ๆ ฉะนั้น ควรแสวงหาว่ากิจการที่ทำอยู่เป็นประจำนั้น มีช่องทางทำให้ดีขึ้นอย่างไร การคิดหาช่องทาง
เช่นนี้ แม้ว่าอาจจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็จะทำให้จิตใจได้รับการบริหารอยู่เรื่อย ๆ ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเอง
เพิ่มขึ้นไม่เสื่อมถอยได้ หรืออาจเรียกว่ามีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ความคิดมีอิทธิพลแก่ตัวเราเองยิ่งกว่า
สิ่งแวดล้อมใด ๆ ทั้งสิ้น
มีนักจิตวิทยามีชื่อเสียงผู้หนึ่งให้คำแนะนำไว้ว่า "จงฝึกตัวของท่านให้ชินต่อนิสัยที่คิดแต่ความสนุกสนาน
ร่าเริง แทนที่จะยอมหมอบราบต่อความคิดที่มืดมนและเศร้าหมองต่าง ๆ"
วิธีที่ดีที่สุดที่จะกำจัดความคิดซึ่งขัดแย้งกับตนเอง ก็คือ จงปลูกฝังความสดชื่นให้เกิดมีขึ้นเป็นนิสัย
เริ่มด้วยการคิดของท่านก่อน ดึงจิตใจคิดถึงแต่ความสุข คิดถึงแต่ความสำเร็จนานาชนิด ในไม่ช้าท่านจะ
กลายเป็นคนที่มีความสุข ทำนองเดียวกัน ถ้าหากท่านคิดถึงแต่ความไม่สำเร็จต่าง ๆ คิดถึงแต่สิ่งอันทำให้
จิตใจเศร้าหมอง ท่านก็จะกลายเป็นคนเจ้าทุกข์ นักจิตวิทยาให้คำแนะนำว่า ทุกเวลากลางคืนก่อนนอน
จงนึกถึงแต่ความคิดที่สนุกสนาน ร่าเริง เช่น นึกถึงภาพยนตร์สนุก ๆ นึกถึงเรื่องขบขันระหว่างเรากับ
เพื่อนฝูง นึกถึงความอิ่มอกอิ่มใจที่ได้บริจาคทานให้แก่คนยากจน นึกถึงความสำเร็จบางชิ้นบางอันที่ได้รับ ความคิดที่เต็มไปด้วยความผาสุกเช่นนี้จะทำให้เราหลับสนิท มีความสุขไปตลอดรุ่ง และในตอนเช้าจิตใจ
ของเราก็จะเบิกบานสดชื่น อันเป็นผลสะท้อนจากความคิดเบิกบานสดชื่นที่เราได้ใช้เมื่อตอนก่อนจะหลับ
นั่นเอง ขอให้ท่านลองฝึกฝนดูเถิด ท่านจะรู้สึกว่า ท่านจะตื่นเช้าด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าที่จะทำงาน
มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดที่จะเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ทุกชนิด

คิดไม่ดี คิดไม่ชอบ
การคิดทำให้เกิดทุกข์ได้มากมาย หากใครคิดไม่ดี คิดไม่ชอบ ให้ร้ายคนอื่น หรือมีความคิดอิจฉาริษยา
ระแวง จะเป็นการนำไปสู่ความทุกข์ได้ทั้งนั้น
ท่านคงเคยพบบุคคลที่เก่งและเด่น ๆ มากมาย ทั้งในและนอกประเทศ ที่เมื่อประสบชัยชนะหรือเป็นคน
เด่นขึ้นมาแล้ว ก็มักจะมีลักษณะของความหลงรักตนเอง และมีลักษณะเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ฟังความคิด
เห็นของคนอื่น ดูถูกคนอื่น เห็นแก่ตัวมากขึ้น เอาแต่ได้ มีความคิดแบบเผด็จการ หยิ่งผยอง การตัดสินใจก็จะ
ใช้ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เชื่อใคร หวังผลตอบแทนในตนเองสูง ประเมินค่าของตัวเองสูงมากเกินความเป็นจริง
บุคคลรอบ ๆ ข้างก็จะเริ่มเบื่อหน่าย ชิงชัง และหนีหน้าหายไป
ความคิดที่หลงรักตัวเองนี้ เกิดได้จากการที่พ่อแม่ให้ความรัก และชื่นชมในตัวลูกตั้งแต่ตอนเล็ก ๆ และ
จะเริ่มจางหายไปบ้าง เมื่อเด็กโตขึ้นจะเริ่มรู้ตัวเองว่าไม่ได้เด่นจริง ไม่ได้เก่งจริง ไม่ได้สวยจริง และไม่ได้ น่ารัก
จริงอย่างที่พ่อแม่ชื่นชม เขาจะเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับบุคคลอื่น และเริ่มยอมรับความจริงได้ซึ่งก็คงไม่ง่าย
นักในเด็กที่พ่อแม่ประคบประหงมและเอาใจมาก ๆ ตลอดมา
มนุษย์เราจะคิดภูมิใจและหลงตัวเองมาก ๆ อีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาประสบความสำเร็จในชีวิต และมีคน
ชื่นชมเขา ซึ่งอาจจะมาจากสถานภาพทางการเรียน ทางสังคม ทางการเมือง หรือทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะ
เข้าข่ายการหลงตัวเองที่กล่าวมาแล้ว บุคคลเหล่านี้จะมีความกลัวว่าจะมีคนเก่งกว่าหรือเก่งเท่าจะมีความ
อิจฉาเมื่อเห็นใครเริ่มมีความเก่งทัดเทียมขึ้นมา จะมีความรู้สึกด้อยและเจ็บปวดมาก ถ้าหากตัวเองจะรู้สึกว่า
ความเก่งหรือความเด่นลดลง จะทนไม่ได้ และมีความรู้สึกหวงแหนอำนาจมาก เพราะกลัวการเสียหน้าสูง
แท้จริงแล้วจะเห็นว่า บุคคลที่มีความคิดไม่ดี ไม่ชอบ เช่นนี้จะหาความสุขได้ยาก เพราะจะเต็มไปด้วย
ความรู้สึกกลัว ความอิจฉาริษยา ความเจ็บปวด กลัวเสียหน้า แม้ว่าบุคลิกภายนอกที่เขาแสดงออกถึงความ
เย่อหยิ่ง เผด็จการ ดูถูกคนอื่น จะมองดูเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม แต่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างเกราะป้องกัน
"ความกลัว" ในจิตใจของเขาเองมากกว่าเวลาเขาตกต่ำหรือรู้สึกเจ็บปวด ผิดหวัง เขาจะรู้สึกเจ็บปวด
มากกว่า บุคคลทั่วไป
ทางออกของคนเด่นหรือคนที่คิดไม่ดี ไม่ชอบเหล่านี้ จะอยู่ได้โดยไม่ทุกข์มากนัก ก็คือ ต้องขจัดความ
รู้สึกหลงรักตัวเองลงไปบ้าง เพราะมันเป็นเพียงความรู้สึกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แล้วตัวเอง
ก็จะได้เป็นคนดี คนเก่ง หรือคนเด่นที่เป็นธรรมดา ๆ ต่อไป ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปก็จะรักและชื่นชมมากขึ้น

คิดดีทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ
การวางจุดมุ่งหมายให้แน่นอนใน ชีวิตของคนเรา เป็นหลักการอันสำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิต คนที่
ขาดจุดมุ่งหมาย ก็คือ คนที่ขาดหลักสำหรับยึดเหนี่ยว ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหน เหมือนเรือที่ลอยเท้งเต้ง
ไปตามกระแสน้ำ น้ำขึ้นก็ลอยขึ้น น้ำลงก็ลอยลง
อย่างไรก็ตาม การวางจุดมุ่งหมายของชีวิตนั้น เราจำเป็นจะต้องวางไว้ในระยะที่พอจะไปถึงได้โดยง่าย
การวางจุดมุ่งหมายไว้ไกลเกินไป เราก็ย่อมไม่อาจบรรลุถึงได้ หรือกว่าจะถึงก็เหนื่อยอ่อน หมดความยินดีใน
ความสำเร็จของตนเสียก่อน
บุคคลที่ฉลาดย่อมรู้ว่าจุดหมายของตนนั้นอยู่ห่างไกลเพียงไร แล้วเขาก็วางจุดหมายในระยะใกล้ ๆ
ไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะก้าวไปสู่จุดหมายอันแน่นอนของชีวิต ค่อย ๆ ก้าวไประยะสั้น ๆ และก้าวไปได้ ง่าย ๆ
กระทำเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการของชีวิต
คนเราหากมีความมุ่งหมายแล้ว ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ท่านมีความตั้งใจจริงแน่นอนที่จะก้าวไปข้างหน้า โดย
ไม่รู้จักคำว่าแพ้ โดยไม่รู้จักคำว่าถอยหลัง ถ้าท่านมีคุณสมบัติข้อนี้ ท่านจะเป็นบุคคลที่จะได้รับความสำเร็จ
ได้โดยไม่ต้องสงสัย
เราอาจเคยได้ยินคนบางคนบ่นเสมอว่า เขาเป็นคนไม่มีโชค เขาเป็นคนโชคร้ายเป็นต้น คนที่ทำงานไม่ค่อย
บรรลุผลสำเร็จมักจะโทษว่าตนเองโชคร้าย ไม่โชคดีเหมือนคนอื่น ๆ เขา แต่เราอาจเคย พูดคุยกับคนอีก
ประเภทหนึ่งที่เขาสร้างตนเองขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเอง กระทั่งบัดนี้ได้กลายเป็นเศรษฐีย่อย ๆ คนหนึ่ง
ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นของเขาได้มาจากการประกอบอาชีพโดยสุจริต เขาบอกว่าเงินนั้นไม่ใช่ของหายากทุกวันนี้
เราก็ย่ำกันไปบนกองเงินกองทองด้วยกันทั้งนั้น ต่างแต่ว่าใครจะรู้จักหยิบฉวยมันขึ้นมาเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ
เท่านั้นเอง ถ้อยคำของคน ๆ นี้ต่างกับความคิดอ่านของคนบางคนที่ได้แต่บนถึงเรื่องความไม่มี โชคของตน
อย่างเดียว
ทุกหนทุกแห่ง เราจะพบแต่ผู้ที่ไม่พอใจในงานที่ตนทำอยู่ เขาคิดว่าเขาอาจมีโชคดีขึ้น อาจมีความร่ำรวย
และสุขสบายขึ้น ถ้าหากเขาได้ทำงานอย่างคนโน้นทำอยู่ เพราะเขาคิดว่าถ้าได้ทำงานอย่างคนนั้นบ้างแล้ว
เขาคงจะมีโชคดีขึ้น คนขายของก็อยากเป็นดาราภาพยนตร์ คนครัวก็อยากเป็นสมุห์บัญชี ทนายความก็
อยากเป็นแพทย์ นายแพทย์ก็อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อะไรทำนองนี้ ดูยุ่งเหยิงไปหมด สรุปก็คือ แต่ละคน
ดูหมิ่นเหยียดหยามอาชีพของตนเองว่าไม่มีความก้าวหน้า สู้อาชีพของคนอื่นไม่ได้
กำลังสมองของคนเราสิ้นเปลืองไปเพราะความคิดเช่นนี้มีมากมาย ผู้ที่เห็นว่าอาชีพใดรุ่งเรืองและอยาก
จะประกอบอาชีพนั้น ๆ บ้าง ล้วนแต่เป็นพวกคิดสั้น ๆ ถ้าหากเขาได้ศึกษาให้ลึกลงไปอย่างแท้จริงแล้ว
เขาจะได้ทราบความจริงว่า ผู้ที่ประสบโชคดีในอาชีพที่เขาปรารถนาอยู่นั้น ต้องต่อสู้ ผจญกับความลำบาก และต้องผ่านความอดทนมาแล้วไม่น้อยไปกว่าอาชีพของเขาเลย
ยกตัวอย่างเจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่ง แต่เดิมมีห้อง ๆ เดียวขายของเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ค น ๆ นี้
แต่เดิมเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายในกิจการของตนเองเหมือนกัน เขาคิดจะเปลี่ยนไปเป็นร้านขายยาบ้างร้านขาย
เครื่องดื่มบ้าง แต่ว่าบังเอิญชายผู้นี้มีภรรยาเป็นคนฉลาดและมีมานะอดทน ภรรยาไม่เห็นด้วย ต่อการที่จะ
เปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่น เธอบอกกับสามีว่า เหตุใดเราจึงไม่พยายามปรับปรุงร้านเล็ก ๆ ของเราให้ดีขึ้น
เพราะทางที่จะปรับปรุงนั้นยังมีทางทำได้ สามีเลยได้คิด จึงได้ลงมือปรับปรุงกิจการของเขาขนานใหญ่
บัดนี้เขาจึงกลายเป็นเจ้าของร้านขายของเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มีถึง 3 ห้อง คนเช่นนี้เองที่รู้จักนำเอาโชคที่เขา
เคยนึกไม่ถึงมาสร้างให้เป็นตัวเป็นตนขึ้น
เพราะฉะนั้นคนเราจงใช้โอกาสที่มีอยู่แล้ว ทำการงานของเราให้ดีที่สุด จงใช้เวลาเสาะแสวงหาช่องทาง
ที่จะปรับปรุงส่งเสริมการงานที่ทำอยู่ให้เจริญงอกงามเท่าที่คนทั่วไปจะทำได้ ฐานะที่เราเป็นอยู่นี้ จะดีจะเลว
หรือจะยากจนเข็ญใจอย่างไร ก็จงทำให้ดีที่สุด คนสำคัญ ๆ ของโลกมากมายที่สามารถก้าวขึ้นมาสู่ความ
รุ่งโรจน์ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาเคยอยู่ในสภาพที่ยากจนและมีภาระผูกพันมากมาย โชคดีมีอยู่ทั่วไปทุกหน ทุกแห่ง
ในดิน ในอากาศ ในโรงงาน ในร้านค้า ในบ้าน ในเรือกสวน ในไร่นา มีใน ทุก ๆ สถานที่ เราอาจเคยได้ยิน
หลายคนบ่นว่า เมื่อไรหนอโชคจะมาหาเราสักที จงบอกเขาว่าโชคไม่ได้ อยู่ที่อื่น แต่อยู่ที่ตัวเราเอง โชคมาหา
เราไม่ได้ แต่เราจะต้องสร้างโชคขึ้นมาด้วยพละกำลังของเรา
โชคอาจจะอยู่ที่การคิดของเราเอง คือการคิดโดยพิจารณาจากข้อมูลหลายด้าน และมีข้อเท็จจริง
หลายอย่าง มีการตรวจสอบความคิดและมีความรู้สึกตัวขณะพูดและทำ การกระทำและการพูดที่คิดแล้วจะ
ไม่ผิดพลาด นั่นก็คือคิดดี เมื่อคิดดี จิตใจและชีวิตก็จะเป็นสุข แสดงว่าคิดดี ทำให้ประสบผลสำเร็จ

คิดไม่ดี ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
มีคนมากมายที่รองานที่ควรทำในวันนั้นไปทำในวันอื่น เช่น ควรจะไปเยี่ยมญาติซึ่งป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
ในเช้านี้ ก็บอกกับตนเองว่า บ่าย ๆ ค่อยไปเยี่ยมดีกว่า แทนที่จะอ่านหนังสือที่ควรอ่านเสียวันนี้ ก็บอก ตนเอง
ว่า รอไว้อ่านพรุ่งนี้เถอะ ผลสุดท้ายก็คือญาติออกจากโรงพยาบาลแต่ไม่ได้ไปเยี่ยมสักที หนังสือที่ ควรอ่านก็
เลยไม่ได้อ่าน การผัดวันประกันพรุ่งเช่นนี้ ถือเป็นโจรปล้นทั้งเวลาและความสำเร็จของเราเอง ทำให้บรรลุผล
สำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะถ้าหากเรามีความกระตือรือร้น เราจะทำงานได้สำเร็จมาก กว่าการรั้งรอไว้
เป็นปกติธรรมดาอย่างหนึ่งที่คนผัดวันประกันพรุ่งนั้น มักจะสำคัญและบอกว่าตนเองมีธุระมากที่สุด
ไม่มีเวลาจริง ๆ ข้อที่ร้ายที่สุดก็คือ คนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งจะเป็นคนที่ขาดการตัดสินใจ มีการตัดสิน
ตกลงใจไม่แน่นอน เป็นคนที่ปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เป็นคนที่ละเลยต่อการงานที่ควรทำ ซึ่งคนที่
มีนิสัยเช่นนี้จะเป็นผู้ที่ถูกเหยียดหยาม ไม่มีใครยกย่องนับถือเลย บุคคลประเภทนี้นาน ๆ เข้าจะกลายเป็น
คนที่ตัดสินใจอะไรไม่เป็น จะเป็นคนที่ปราศจากความสุข ความรื่นรมย์ตลอดชีวิต จะหวาดเกรงต่อการ
ตัดสินปัญหาทุกอย่าง ซึ่งชีวิตคนเรานั้นย่อมมีเรื่องที่จะต้องตัดสินตกลงใจร้อยแปดพันประการ
บุคคลที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง จะต้องแก้ไขนิสัยตนเองโดยเร็ว เขาจะต้องตื่นขึ้นจากฝันร้าย เขาจะ
ต้องถอนตัวออกจากความอ่อนแอ และปลุกใจตนเองให้เกิดความมุ่งหวัง ให้เกิดผลสำเร็จ และมีลักษณะ
นิสัยเข้มแข็ง เด็ดขาด และบอกตัวเองอยู่เสมอว่า "เมื่อใดงานผ่านเข้ามา จงทำเสียเดี๋ยวนี้ หรืออย่างช้าที่สุด
ก็คือวันนี้"
สิ่งหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องพบกับมันอยู่เสมอ ๆ ก็คือ ความอิจฉาริษยา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีปม
เหล่านี้เท่ากัน แต่จะมีมากน้อยต่างกันไป
ถ้าคนเรามีความคิดอิจฉาริษยากันมาก ๆ ก็มีทุกข์มาก แม้ว่าเราไม่อยากมีกัน แต่เราก็มีกันทุกคน
มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ลักษณะ วิธีที่จะรักษาหรือทำให้หายก็แสนจะยาก การ อบรมสั่งสอนว่าอย่าอิจฉา
ริษยากันเลยนั้นแทบจะไม่ได้ผลเลย แต่อาจมีวิธีบรรเทาได้บ้าง 2 ข้อ ดังนี้
ข้อแรก จงทำตัวสบาย ๆ อยากรู้สึกอะไร ๆ ก็ได้ อยากอิจฉาก็อิจฉาไป นึกเสียว่าเมื่อมีความหิว เราก็
ขวนขวายอะไรกินเสีย ความหิวก็หายไป แล้วก็กลับมาหิวใหม่ได้
ข้อที่สอง จงมีความเพลิดเพลินกับการมีชีวิตอยู่ หาอะไรสนุก ๆ ทำไปเรื่อย ๆ สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ของ
ชีวิต เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี ดูแลต้นไม้ ดูแลสัตว์เลี้ยง คบหาเพื่อนอาชีพต่าง ๆ พูดคุยทำตัวให้มีความ
เพลิดเพลิน ถึงคุณจะมีความอิจฉาริษยามันก็จะเลือน ๆ ลงไปบ้าง
การที่คนคิดไม่ดี คิดร้ายกับคนอื่น มีตัวอย่างอีกมากมาย เช่น โจรผู้ร้ายที่เที่ยวปล้นฆ่าคน ฉกชิงวิ่งราว
ล้วงกระเป๋า สร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่การหาวิธีเป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะ
ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมและทางศาสนา และตัวเขาเองเมื่อโดนตำรวจจับได้ ก็มีความผิด
ติดคุก ติดตะรางไป ยิ่งทำความเดือดร้อนสร้างทุกข์ให้กับตนเองและครอบครัวยิ่งขึ้นไปอีก
การคิดทำให้เกิดทุกข์ได้มากมาย และหากใครคิดไม่ดี ให้ร้ายคนอื่น หรือมีความอิจฉาริษยา ระแวง จะเป็นการนำไปสู่ความทุกข์ได้ทั้งนั้น

คิดมองโลกในแง่ดี
ถ้าคนเราปรารถนาจะได้รับความสุข จงสร้างความรู้สึกให้รักคนอื่น ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ความรู้สึก
รักมนุษย์นี้จะทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตนี้น่าอยู่ มีค่า มีความหมาย มีค่าทั้งชีวิตเราและชีวิตเขาทำให้เกิดความปิติ
ยินดีที่จะได้ช่วยเหลือกันโดยไม่คิดถึงการได้เปรียบ เสียเปรียบ และจะเกิดความรู้สึกอภัยกันได้ง่ายขึ้น โดย
ไม่คำนึงถึงความอยากแก้แค้น หรือโกรธ ถ้าใครทำให้เราไม่ถูกใจ
มีเทคนิคบางอย่างที่จะทำให้มนุษย์มีใจกว้างขึ้น รักคนได้มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงว่า จะต้องรักคนใน
อาชีพเดียวกัน วัยเดียวกัน หรือคนที่มีอะไรเหมือน ๆ กัน ซึ่งเราจะต้องเปิดใจให้กว้าง แล้วเราก็จะ สามารถ
รับใคร ๆ ก็ได้เข้ามาเป็นเพื่อนของเรา หรือเป็นคนคุ้นเคยกันได้
มนุษย์เราอยากให้คนอื่นยอมรับและถูกสัมผัสทั้งจิตใจและร่างกาย เพื่อเป็นเครื่องแสดงว่าเรามีค่าพอ มี
ความหมายพอแก่คนอื่น ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เช่น ในประเทศทางตะวันตก เขาจะมีการจับมือกัน ใช้เป็น
สัญลักษณ์ของการทักทาย ยินดี ขณะเดียวกันเขาก็จะจับมือกันแน่นและสั่นมือพร้อม ๆ กัน ถ้า เป็นคนที่
สนิทกันมาก หรืออาจจะใช้อีกมือหนึ่งตบบ่าอีกฝ่ายหนึ่งเบา ๆ ก็ได้ และเขาก็จะมองตาซึ่งกัน และกัน
ยิ้มแย้มเข้าหากัน ทักทายกันอย่างดี และเมื่อจะจากกันเขาก็จะจับมือกันอีก
ส่วนการไหว้ของคนไทยก็เป็นการให้ความรู้สึกอยากเป็นมิตรด้วยความเหมาะสม สุภาพ และให้เกียรติ
กัน ซึ่งจะทำให้เกิดความประทับใจในการคบกันฉันเพื่อได้ เป็นการสร้างความกล้าหาญให้กับตนเอง รู้จัก
การสร้างเพื่อน และรู้จักการสร้างงาน และอาจนำไปใช้สร้างงานใหม่ ๆ ได้ดี
จงมีความศรัทธาในศาสนา
ถ้าได้ศึกษาชีวิตของคนที่ประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นคนไทยและคน
ต่างชาติ ก็จะพบว่า บุคคลเหล่านี้จะมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่ฝังใจต่อคำสอนของศาสนา และมีความเคารพ
นับถือในองค์ศาสดา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ทำให้บุคคลเหล่านั้น มีลักษณะการอ่อนน้อมถ่อมตน มีความ
กตัญญูกตเวที มีจริยธรรมคอยควบคุมจิตให้พยายามกระทำสิ่งที่ดีงาม รู้จักสร้างวินัยกับตนเอง มีโอกาส พบปะ
บุคคลต่างอาชีพที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กัน เนื่องจากมีความเชื่อคล้าย ๆ กัน จนกลายเป็นมิตรภาพที่ดีต่อไป
นอกเหนือจากนั้น บุคคลเหล่านี้มักจะไม่ค่อยเหงา เพราะจะรู้สึกอบอุ่นใจที่มีศาสนาเป็นเพื่อน ทำให้รู้จักเสีย
สละ รู้สึกจิตใจผ่องแผ้วเมื่อได้เสียสละหรือบริจาคทำบุญ
สิ่งที่ดีกว่านั้นก็คือ บุคคลเหล่านั้จะได้มีโอกาสระบายความทุกข์ทางใจไปกับกิจกรรมทางศาสนา ทุกศาสนา
จะมีการสวดมนต์อ้อนวอน อธิษฐาน หรือสารภาพบาป บนบานศาลกล่าวด้วยวิธีการเช่นนี้ จะทำให้ผู้มีความ
ทุกข์ในใจได้มีโอกาสระบายความทุกข์เหล่านั้นออกมา ความทุกข์เหล่านั้นอาจจะเป็นความลับที่เรา บอกใคร
ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดทางกฎหมาย ศีลธรรม แต่เราก็สามารถจะขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือตัวแทนของศาสนาได้
ในยามทุกข์หรือสุขก็ตาม ท่านลองสวดมนต์ อธิษฐาน และทำตัวให้อยู่ในคำสั่งสอนของศาสนา มีความ
เชื่อในศาสนาให้มากขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง จิตใจของเราจะได้สัมผัสกับความสุขอย่างไม่คาดคิด
มาก่อน คนที่ไม่ศรัทธาในศาสนาใด ๆ เลย มักจะเป็นคนยึดมั่นในตัวเองสูงเกินไป ต่อไปมักจะเป็นคน
เศร้าหมอง เก็บกด เหงา หรือก้าวร้าวมาก ๆ
จงมีความรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์
จิตใจของคนเรานั้นจะแปรเปลี่ยนไปมาอยู่เรื่อย ๆ บางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี เราจึงต้องมีการคอยควบคุม
จิตใจ ให้คอยคิดคอยนึกถึงคนอื่นในแง่ดีและปรารถนาดีอยู่เสมอ ฉะนั้น จงหมั่นแสดงความรักและความ
ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อื่น ๆ ทุกวัน วันละกี่คนก็ได้ และไม่ต้องนึกว่าจะมีใครมาแสดงความปรารถนาดี
กับเราหรือไม่ ถ้าจะมีก็ได้หรือไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องฝึกใจและคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ดีของเราที่เราจะต้อง
ปรารถนาดีต่อคนอื่น เมื่อเรามีความปรารถนาดีต่อบุคคลอื่นแล้ว การลงมือช่วยเหลือคนอื่น ๆ จะตามมา
ด้วยความสมัครใจ โดยที่เราจะไม่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ หรือทำไปเพราะหวังผลตอบแทน
จงฟังดนตรีและเสียงเพลงบ่อย ๆ
จะสังเกตได้ว่า กลุ่มหนุ่มสาวและวัยรุ่นนั้นชอบที่จะเปิดเพลงจากเครื่องเสียงดังลั่นบ้าน นั่งฟังไปร้อง
เพลงคลอไปด้วย หรือเอามือเคาะโต๊ะเบา ๆ ดูพวกเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน
ส่วนพวกที่โตเป็นผู้ใหญ่ ทำการทำงานแล้ว โอกาสจะฟังเพลงก็มีน้อย หรือฟังไปเสียดายเวลาทำงานไป หรือบางคนก็ชอบฟังเพลงไปทำงานไปด้วยก็มี แต่แท้จริงแล้ว คนที่ชอบฟังเพลงจะทำให้ชีวิตมีความสุข เสียงเพลงและดนตรีเป็นภาษาสากล คนจะฟังเพลงได้ไพเราะ ต้องมีจินตนาการไปตามเสียงเพลง จิตใจ
ของคนที่ชอบเสียงเพลงนั้นจะละเอียดอ่อน รู้จักสร้างจินตนาการที่ดีให้กับชีวิต และเกิดแนวคิดสร้างสรรค์
กับ ชีวิตได้มากมาย เราควรจะหัดและยึดตัวเองให้มีความคิด มีจินตนาการที่ดีต่อชีวิตและธรรมชาติในขณะ
ฟังเพลงไปด้วย แล้วเราจะรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นมากทีเดียว หากมีใจรื่นรมย์ก็จะทำให้ไม่คิดฟุ้งซ่าน มองดู
อะไรดีไปหมด เพราะจะเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ชีวิตก็จะมีความสุข
คนที่มองโลกในแง่ดี มักจะมีอารมณ์ขันและมีเสียงหัวเราะ
บ่อยครั้งที่เราจริงจังกับชีวิตมากเกินไป จนขาดอารมณ์ขัน บางคนไม่เคยหัวเราะเลยเป็นเดือน เป็นปี คนที่มีอารมณ์ขันและมีเสียงหัวเราะนั้นเป็นคนที่มีความสุข อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ คนที่อยู่ใกล้ชิดก็ชอบ เพราะ
อยู่ด้วยแล้วมีความสบายใจ การจะมีอารมณ์ขันนั้นต้องมีสติและมีพื้นฐานจิตใจที่ดี อารมณ์ขันที่ดีนั้นควรจะ
ประกอบด้วยความสุภาพ เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่พูดคุยกันแล้ว เขาก็เกิดอารมณ์ขันในตัวเอง หัวเราะต่อ กระซิก
น่ารัก พยายามอย่าทำตัวเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา จะทำให้เครียด จิตใจไม่สดชื่น อีกประการหนึ่งคือ พยายาม
อยู่กับคนที่มีสุขภาพจิตดี คนที่มีสุขภาพจิตดีจะมีจิตใจเบิกบาน สดชื่น มองโลกในแง่ดีเสมอ

คิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน
หลาย ๆ คนคิดว่า การที่เราจะให้อะไรคนอื่นนั้นเป็นไปได้ยาก อาจเป็นเพราะว่า
1. มีความเสียดาย
2. เขาไม่ได้เป็นคนดีพอที่เราจะให้ หรือเขายังไม่ได้ให้อะไรเราเลย
3. รู้สึกว่าเราด้อยค่ากว่าเขา ที่เราต้องเป็นฝ่ายให้เขาก่อน
ถ้ามัวคิดอยู่อย่างนี้ เราคงไม่ให้อะไรใครง่าย ๆ ลองคิดดูอย่างนี้บ้างเป็นไร การที่เราเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น ก่อนนั้น
แสดงว่า
1. เรามีค่ามากขึ้น ที่เราสามารถ "ให้" คนอื่น ๆ ได้ เช่น ให้ความช่วยเหลือ ให้กำลังใจ หรือให้สิ่งของ เล็ก ๆ
น้อย ๆ ที่เราพอมีอยู่บ้าง ทำให้ผู้รับเกิดความพอใจ เกิดความพ้นทุกข์ มีความสุข
2. เราใจกว้างมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น ที่สามารถทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น การให้คนอื่นก่อนซึ่งต้อง
อาศัยความกล้าและความเข้มแข็งที่จะต้องเอาชนะใจตนเองที่พร้อมจะเป็นผู้รับ อยู่แล้ว ฉะนั้น ทุกครั้ง ที่เรา
ให้สิ่งของแก่คนอื่น จงชมตัวเองว่า ตัวเราดีขึ้น เก่งขึ้น ใจกล้าขึ้น แล้วคุณจะอยากให้มากขึ้น
3. การให้นั้นอาจจะเป็นการให้วัตถุหรือความช่วยเหลือก็ได้ ให้ดูตามความเหมาะสม เช่น พูดให้กำลังใจ
การชมเชย การแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือความเมตตา เป็นการให้ชนิดหนึ่งที่ดีมาก
ประโยชน์จากการเป็นผู้ให้นั้นมีมากมาย นอกจากจะทำให้มีมิตรมากขึ้น มีคนรักมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการ
กำจัดความอยากได้จากคนอื่น ทำให้ลบความทุกข์จากความอยากได้ที่ไม่สิ้นสุด เป็นการฝึกฝนจิตใจให้
เสียสละ มีความโอบอ้อมอารี
การที่จะสอนคนให้รู้จักมีความสุขจากการให้นั้น เหมือนกับเป็นการให้คนพายเรือทวนกระแสน้ำ ดูว่า
มันยากยิ่ง แต่เราจะเข้มแข็งมากขึ้น รู้จักต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตได้อย่างดียิ่งขึ้น เมื่อได้มีการฝึกการให้
อย่างสม่ำเสมอ จิตใจจะมีพลังมากขึ้น เมื่อเราฝึกการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ลักษณะของคนที่จะเป็น "ผู้ให้" ที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ คือ
1. มีความรักมนุษย์ เกิดเป็นคนใช่ว่าจะรักมนุษย์เสมอไป บางคนจะรักสัตว์มากกว่ามนุษย์เขาจะพูดจา
กับสัตว์ได้ดีกว่าพูดกับมนุษย์ด้วยกันเสียอีก บางคนรักต้นไม้ ก็จะปลูกต้นไม้งาม บางคนรัก เครื่องยนต์
ชอบแก้เครื่องยนต์ ชอบดูแลทำความสะอาดรถยนต์มากกว่าสนใจเรื่องอื่นก็มี บางคนรักตัวเลข และเงินทอง
ก็มีความห่วงใยตัวเลขและเงินทองในธนาคารมากกว่าสนใจคนอื่น
เราจะรักอะไรมากกว่ามนุษย์ก็ตาม เราจะต้องฝืนใจ หันมาสนใจและรักมนุษย์ให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้น
เราจะให้อะไรแก่มนุษย์คนอื่นได้ยากมาก
2. ต้องมีสัญชาตญาณของความเป็นพ่อแม่ แม้ว่าคุณจะไม่เคยแต่งงานหรือไม่เคยมีลูกเลย คุณก็พร้อม
ที่จะรักคนอื่น พร้อมจะให้อภัยและเมตตา เสมือนพ่อแม่รัก อภัย เมตตา ลูก ๆ นั่นเอง
3. ต้องลดการถือตัวลงบ้าง อย่าคิดว่าตนเองดีวิเศษอยู่คนเดียว ถ้าคิดเช่นนี้คุณจะให้สิ่งของแก่ใคร
ไม่เป็น
4. รู้จักอภัยและมีอารมณ์ขันบ้าง อย่าจับผิดคนอื่น จงมองความผิดพลาดและความไม่รู้ของคนอื่น
ด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และมีอารมณ์ขันปนบ้าง แล้วจะได้มองเห็นความปกติและมีค่าในตัวคนอ่นได้มากขึ้น
ไม่จริงจังมากเกินไป จะเป็นเหตุให้คุณไม่ยอมให้อะไรแก่ใคร ง่าย ๆ ฉะนั้นมนุษย์เราจงสร้างความสุขจาก
การรู้จักให้มากกว่าจากการรับเถิด ความคิดที่จะให้มีอยู่ในหัวใจใคร บุคคลนั้นก็คือผู้ทำความดีคนหนึ่ง

สาเหตุของความไม่สดชื่น
คนปกติทั่วไปก็มีความเครียดได้ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาในชีวิตต่าง ๆ มากมายและซับซ้อน
ตามวัย ฐานะทางสังคม และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นของแต่ละคน และมนุษย์ก็มักจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการนั้น
ครบถ้วน ทำให้เกิดความไม่พอใจและสะสมเอาไว้ แม้ว่าปากจะบอกว่าไม่อยากได้แล้วก็ตาม แต่ในใจก็ยัง
อยากได้สิ่งเหล่านั้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเครียด เช่น
อยากให้เขามารักเรา แต่เขาก็ไม่ได้รักเรา แต่ก็ยังอยากให้มารักอยู่ดี นักศึกษาอยากสอบแข่งขันเข้า
มหาวิทยาลัยให้ได้ แต่ก็สอบไม่ได้ แต่ก็ยังอยากได้อยู่ดี ปัญหาอื่น ๆ เช่น รถติด เสียงดัง เศรษฐกิจฝืดเคือง
ซึ่งเราก็อยากจะให้หมดไป แต่ก็ไม่สามารถขจัดได้
บุคคลเหล่านี้เมื่อสะสมความเครียดเอาไว้นาน ๆ อาจมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจต่อไป
เช่น
1. ภาวะจิต สรีระแปรปรวน หมายถึง ความเครียดทางจิตใจจะทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายได้
เมื่อเครียดมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- ปวดหัวข้างเดียว หรือสองข้าง
- ปวดท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- ลำไส้ใหญ่อักเสบ ถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ ถ่ายเป็นเลือด
- อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้
- โรคภูมิแพ้ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดเมื่อยเรื้อรัง เสื่อสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ
2. ภาวะโรคประสาท ซึ่งจะทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต มีความวิตกกังวล หวาดกลัว โกรธอยู่ตลอดเวลา
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ไม่มีความสุข
3. โรคจิต เมื่อเครียดมาก ๆ มนุษย์อาจหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริง สร้างโลกของตนเอง
คิดเอาเอง พูดเอาเอง กลายเป็นคนโรคจิต
คนที่เป็นโรคจิตมักไม่รู้ตัวว่าป่วย แต่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมักดูอาการออกและนำไปให้แพทย์รักษา โดย
ทั่วไปผู้ป่วยไม่ค่อยเต็มใจ ซึ่งผิดกับคนที่เป็นโรคประสาท พวกนี้มักจะมีความทุกข์ใจ อยากหาผู้ช่วยเหลือ
และรักษา
ลักษณะของคนที่มีความเครียดได้บ่อย ๆ
1. ชอบวางมาดหรือเกร็ง มักจะมีกริยาที่เกร็งอยู่เสมอ ๆ ชอบขมวดคิ้ว ตัวงอ ยืดตัวเกร็ง ไม่ปล่อยตัว
ตามสบาย ทำให้ขาดการผ่อนคลายทางจิตและกล้ามเนื้อ
2. พวกที่มีความกลัวอยู่เสมอ เช่น กลัวการถูกคุกคามชีวิต กลัวความตาย กลัวความแก่ กลัวเป็นโรค
เรื้อรังที่ไม่หาย เช่น มะเร็ง กลัวภาวะที่ทำให้เจ็บป่วย เช่น มลภาวะเป็นพิษ ความอดอยาก ภัยจากโจรผู้ร้าย
หรือภาวะสงคราม กลัวการถูกทอดทิ้ง ความกลัวว่าเขาจะไม่รักเรา กลัวการไม่ยอมรับของสังคม กลัวไม่มี
เพื่อน กลัวความเหงา
3. พวกที่มีความอายอยู่มาก ๆ เช่น เวลาหิวแล้วบอกว่าไม่หิว ความอายนี้จะก่อให้เกิดความเก็บกดสูง
ฉะนั้น คำพูดที่แสดงออกมามักจะตรงข้ามกับความจริงเสมอ ลักษณะอายที่พบได้บ่อย ๆ คือ หน้าแดง
ก้มหน้า ไม่กล้า สบสายตา แอบดู วิ่งหนี เดินหนี ทำเป็นไม่สนใจ ก้าวร้าวตอบ
บุคคลเหล่านี้จะมีสัมพันธภาพกับคนอื่นไม่ดี และมักจะเสียโอกาสดี ๆ ของชีวิต
4. พวกคิดมาก กังวล พวกนี้จะมีความอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสูงมากเกินไป หรืออยากมีในสิ่งที่
มีไม่ได้
5. พวกที่วางตัวเป็นผู้ใหญ่มากไป พวกนี้ขาดอารมณ์ขัน เป็นคนจริงจัง ผิดหวังจะเสียใจมากมักจะดูถูก
ตัวเองเมื่อไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคได้
6. พวกเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว พวกนี้ต้องการเอาชนะทุกอย่างในชีวิต ไม่ยอมแพ้ ถ้าแพ้จะทนไม่ได้ มักจะ
โทษสิ่งแวดล้อม โทษคนรอบข้าง และอาจจะโทษตัวเองในที่สุด เป็นคนใจแคบ เอาตัวเองเป็นหลัก ไม่ฟัง
ความคิดเห็นคนอื่น มุทะลุ ดันทุรัง ดื้อ
7. พวกที่แบ่งเวลาไม่เป็น ชอบทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ชีวิตมักจะชุลมุนวุ่นวาย ลุกลี้ลุกลน
ขาดความเป็นระเบียบ เช่น ชอบดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ คุยกับลูก หรือปรึกษางาน ในขณะรับประทานอาหาร
8. พวกที่มีอารมณ์รุนแรง ไม่รู้จักผ่อนคลายอารมณ์ ชอบโกรธ ชอบตำหนิติเตียน ลงโทษคนอื่น
9. มักคิดไปในทางที่ไม่ดี ไม่คิดสร้างสรรค์
บุคคลที่มีลักษณะทั้ง 9 ข้อ จะมีความเครียดอยู่เป็นประจำ และจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นบุคคลที่หา
ความสดชื่นในชีวิตได้ยาก

วิธีลดความเครียดและสร้างความสุขสด ชื่น
ในปัจจุบันแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้ยอมรับแล้วว่า ความเครียดมีผลด้านลบต่อชีวิตคนเราในหลาย ๆ
ด้าน ความเครียดสามารถส่งผลถึงจิตใจ และสามารถแสดงออกมาทางร่างกายได้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น
ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปวดท้อง อ่อนเพลีย เป็นโรคกระเพาะ โรคความดัน นอน
ไม่หลับ เป็นต้น
ดังนั้น เรามักจะพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ มักจะเป็นผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใส เยือกเย็น และมีความ
เครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือผู้ที่ออกกำลังกายน้อยเกินไป และผู้ที่ออกกำลังกายอยู่เสมอจะ
เป็นผู้ที่มีรูปร่างกระชับ มีรูปทรงที่สวยงามแข็งแรง มีความต้านทานโรคต่าง ๆ สูง และมีแรงที่จะทำภารกิจ
ต่าง ๆ ในชีวิตได้มาก
เมื่อคิดที่จะลดความเครียดเพื่อให้เกิดความสดชื่นกับชีวิต ก็ต้องมีกิจกรรมและวิธีลดความเครียด ที่เรียก
กันว่า แอโรบิค ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่คนเรา เพราะแอโรบิคเป็นการออกกำลังกาย
ที่มีการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยความเร็วพอประมาณ ในจังหวะที่สม่ำเสมออย่างน้อย 10-15
นาที เช่น การเดินเร็ว ๆ วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ เต้นรำด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ เป็นต้น
นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคได้กล่าวไว้ว่าขณะที่
ออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานสูงขึ้น หัวใจและปอดได้ทำงานเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดผล
ต่อผู้ออกกำลังกายมากมาย ดังนี้
1. ทำให้สุขภาพทั่วไปแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น ทำให้มีเรี่ยวแรงต่อสู้กับกิจการงานต่าง ๆ ได้ ไม่เหนื่อยหรือ
อ่อนเพลียง่าย
2. ระบบการย่อยอาหารจะดีขึ้น อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยจะหมดไป
3. ขับถ่ายสะดวก ท้องไม่ผูก
4. นอนหลับง่าย และหลับได้สนิทขึ้น
5. ลดความเครียด ความวิตกกังวล หรืออารมณ์ซึมเศร้า หรืออาการประสาท อื่น ๆ
6. ทำให้ไม่อยากดื่มเหล้า เบียร์
7. ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่
8. ลดความอ้วนได้ดีที่สุด
9. ทำให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส ปลอดโปร่ง มีอารมณ์เยือกเย็นและมั่นคง
10. มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงขึ้น
11. สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้น
12. กระดูกจะแข็งแรงขึ้น แม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม
13. หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น และเป็นวิธีป้องกันโรคหัวใจได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
และที่สำคัญการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งให้ประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเราอย่างยิ่งนี้
ไม่ได้ยุ่งยากมากมายอย่างที่ใคร ๆ คิด เพราะเพียงการเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเร็วครั้งละ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลา
ประมาณ 10-20 นาที ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคแล้ว
การเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ จัดได้ว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ง่าย สะดวก และประหยัด
ที่สุด
ท่านจะลองใช้วิธีการวิ่งเพื่อสุขภาพจิต เป็นการลดความเครียด เพื่อให้เกิดความสดชื่นในชีวิต โดยวิธีการ
ก็คือ
1. เตรียมเสื้อผ้า เครื่องใช้ในการวิ่งแบบสบาย ๆ ตามฐานะ ใช้กางเกงขาสั้นหรือขายาว เสื้อยืด ใส่รองเท้า
ผ้าใบหรือรองเท้าวิ่ง ใส่ถุงเท้าตามปกติทั่วไป
2. ควรวิ่งคนเดียว
3. หาสถานที่วิ่งที่ปลอดภัยจากการจราจร
4. คิดว่าเราวิ่งเพื่อสุขภาพจิต เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และจิตใจเบิกบาน ไม่ใช่วิ่งเพื่อจะเป็นแชมเปี้ยน
หรือแข่งขันกับใคร
5. ให้เริ่มวิ่งช้า ๆ ประมาณ 200 ก้าว แล้วสลับด้วยการเดิน 50-100 ก้าว แล้วเริ่มวิ่ง 200 ก้าวอีก
สลับกับการเดินไปเรื่อย ๆ ห้ามวิ่งนาน ๆ โดยไม่หยุด
6. ถ้าในบางครั้งท่านรู้สึกอยากร้องเพลง ก็ให้ร้องเพลงเบา ๆ เลือกร้องเพลงที่มีเนื้อหาของความสุข
ในเวลานั้นสมองของท่านจะเป็นอิสระ ความคิดในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์ที่ดีในชีวิตจะเกิดขึ้น
ในช่วงนั้น
การวิ่งเพื่อสุขภาพจิตจะทำให้เกิดความเบิกบาน สดชื่น เป็นกิจกรรมที่ง่ายที่สุด กระทำได้เองคนเดียว
ไม่ต้องคอยเพื่อน และไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย
เรามาเริ่มต้นการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ กัน วันละ 10-20 นาที เพื่อสุขภาพ
ตอนท้ายนี้มีประกอบเพื่อเพิ่มคุณภาพของตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Manager Online - ภาคใต้

Manager Online - ภาคกลาง-ตะวันออก

Manager Online - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Manager Online - ภาคเหนือ

คันฉ่องนกไฟ

ผู้ติดตาม

http://hi5.com/friend/displayLoggedinHome.do